รัฐบาลอัดเยียวยา ‘น้ำท่วมใต้’ เสียหายหนัก 5 แสนล้าน ลุยพักหนี้-เติมเงินประชาชน

รัฐบาลอัดเยียวยา ‘น้ำท่วมใต้’ เสียหายหนัก 5 แสนล้าน ลุยพักหนี้-เติมเงินประชาชน

ครม.เศรษฐกิจ ถกเครียดน้ำท่วมใต้เสียหาย 5 แสนล้าน กระทบ 2.9 ล้านคน เคาะมาตรการ “เยียวยา-ฟื้นฟู” ผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ชง ครม.วันนี้ “เอกนิติ” ชูพักหนี้ 1 ปี ดอกเบี้ย 0% ทั้งประชาชน-ธุรกิจ เคาะซอฟต์โลนเอสเอ็มอี 15 ล้าน หารือ มท.ลดภาษีที่ดิน

สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง โดยมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่สงขลา ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2568 เพื่อเตรียมมาตรการเยียวยาดูแลผู้ได้รับผลกระทบ

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้พา ครม.เศรษฐกิจ และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2568 โดยประเมินความเสียหายถึง 500,000 ล้านบาท และมีประชาชนเดือดร้อนมากกว่า 2.9 ล้านคน ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายเห็นความเดือดร้อนของประชาชน

ทั้งนี้ รัฐบาลประกาศมาตรการเยียวยา ฟื้นฟูแบบบูรณาการ โดยเน้นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด โดยมอบหมายให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวบรวมชุดมาตรการเสนอ ครม.วันที่ 2 ธ.ค.2568 ซึ่งบางส่วนใช้งบประมาณ และบางส่วนใช้งบประมาณตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.งบประมาณ 

ขณะที่บางส่วนธนาคารเฉพาะกิจของรัฐใช้งบประมาณตนเองเพื่อช่วยประชาชน ส่วนงบกลางที่ต้องเข้าไปช่วยส่วนของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทยอยู่ระหว่างหารือกัน

สำหรับชุดมาตรการที่จะเข้า ครม.แบ่งเป็น 4 ด้าน ครอบคลุมทั้งการลดภาระหนี้ การเพิ่มเงินในกระเป๋า การลดภาระค่าใช้จ่าย และมาตรการอื่น เพื่อฟื้นฟูความเข้มแข็งของพื้นที่ ได้แก่

1. การลดภาระหนี้ และมาตรการสินเชื่อ (ผ่านสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน) ได้แก่ มาตรการพักชำระหนี้ (พักต้น พักดอกเบี้ย) โดยให้พักชำระเงินต้น และยกเว้นดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 12 เดือน สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ระหว่างการพักชำระหนี้ โดย ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์เพื่อไม่ให้หนี้เหล่านี้ถูกจัดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)

นอกจากนั้นมีมาตรการสินเชื่อเยียวยา โดยลูกหนี้เดิมภายใต้วงเงินกู้เดิม สามารถกู้เพิ่มได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 12 เดือน และสินเชื่อฟื้นฟู เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 12 เดือน โดยสถาบันการเงินของรัฐจะดูแลเรื่องการฟื้นฟูอาชีพ

สำหรับมาตรการ Soft Loan สำหรับ SME จัดให้มีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้

ส่วนแหล่งเงินทุนที่ใช้จากมาตรการพักหนี้ และสินเชื่อข้างต้นจะใช้เงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยจะตั้งเป็นบัญชี PSA (Public Service Account) เพื่อให้ความเป็นธรรม หากเกิดความเสียหายขึ้น ภาครัฐจะเข้ามาดูแล

มาตรการเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน

2.การเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน ได้แก่ เงินเยียวยาครัวเรือน โดย ครม.จะอนุมัติงบกลางวันที่ 2 ธ.ค.2568 เพื่อเบิกจ่ายเงินสด 9,000 บาทต่อครัวเรือนเร็วสุด โดยก่อนหน้านี้เพิ่มเงินทดรองผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งกระทรวงการคลังขยายเงินทดรองเพื่อใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน จังหวัดละ 100 ล้านบาท พร้อมผ่อนคลายเกณฑ์ และระเบียบการเบิกจ่ายเพื่อความรวดเร็วในการช่วยประชาชน

นอกจากนี้ ขยายเวลากำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ภัยพิบัติ  

3.มาตรการลดภาระภาษีให้ประชาชน และผู้ประกอบการ ประกอบด้วย มาตรการขยายเวลาชำระภาษี และค่าธรรมเนียมทั้งหมด และลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซ่อมแซม ได้แก่ ซ่อมแซมทรัพย์สิน ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และลดหย่อนภาษีซ่อมแซมรถ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท

สำหรับผู้ประกอบการนำค่าใช้จ่ายซ่อมแซมทรัพย์สินผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า ส่วนผู้บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่านองค์กรสาธารณกุศลลดหย่อนภาษีได้ 

ส่วนข้อเสนอของเอกชนที่ขอให้ลดภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง กระทรวงการคลัง จะประสานกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณา ตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการในพื้นที่

เล็งลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการ

3.การลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการ เช่น การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับเครื่องจักร และชิ้นส่วนเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัย การยกเว้นการเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุที่ประสบอุทกภัย การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาที่ทำจัดซื้อจัดจ้าง การลดค่าน้ำประปาในพื้นที่อุทกภัย 

การเตรียมจัดงานธงฟ้าเยียวยาค่าครองชีพ โดยเน้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดหลังน้ำลด และอุปโภคบริโภคจำเป็น การบรรเทาภาระด้านเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการสินค้า GI (Geographical Indication) การเว้นค่าเช่า และค่าเช่าซื้อ 

ส่วนมาตรการอื่นได้มอบหมายให้ ธปท.พิจารณาแนวทางที่เหมาะสม และสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ได้รับความช่วยเหลือที่สอดคล้องแนวทางการให้ความช่วยเหลือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อไป

“พาณิชย์” คุมสินค้าให้เพียงพอ

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ จะทำให้มั่นใจว่าประชาชนมีเครื่องอุปโภคบริโภคเพียงพอ ไม่ขาดแคลน และมีราคาที่ต่ำ โดยแบ่งมาตรการช่วยเหลือเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 

1.ระยะเร่งด่วน โดยเน้นดูแลปากท้อง และควบคุมราคา ซึ่งเน้นการจัดส่งสินค้าอุปโภคบริโภคส่งวัตถุดิบอาหาร เช่น ไข่ไก่ ข้าวสาร และอาหารลงไปเป็นวัตถุดิบที่โรงครัว รวมทั้งควบคุมราคา และป้องกันการกักตุนไม่ให้แพงเกินไปเพื่อให้มีสินค้าเพียงพอในพื้นที่

2.ระยะเยียวยาโดยเน้นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมลดราคาอุปกรณ์ซ่อมแซม โดยประสานห้างสรรพสินค้า และห้างเฉพาะกิจ เช่น Big C, Lotus, Home Pro, Global House เพื่อร่วมกันลดราคาสินค้าสำหรับซ่อมแซมบ้าน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ไฟฟ้าจำเป็น โดยลดราคาสูงสุดถึง 80% 

3.ระยะฟื้นฟู โดยเน้นที่การสร้างรายได้ และการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ เช่น มหกรรมธงฟ้าพิเศษ โดยเตรียมมหกรรมธงฟ้าที่มีลักษณะพิเศษ นอกเหนือจากการเน้นสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปจุดที่ประชาชนไม่สะดวกเดินทางมาที่ร้านธงฟ้า

“คลัง” ธุรกิจ-ประชาชนต้องเดินต่อได้

นอกจากนี้ นายเอกนิติ ได้กล่าวตอนหนึ่งในการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน: Fiscal-Monetary Synergy in Sight” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2568 ว่า น้ำท่วมภาคใต้ไม่กระทบภาพรวม และเศรษฐกิจมหภาคมากนักแต่มีผลกระทบต่อชีวิตประชาชนอย่างหนักรวมถึงทรัพย์สินเสียหายทั้งหมด

นายเอกนิติ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2568 ได้ลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ คณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกัน (คปภ.) รวมถึงตัวแทนจาก ธปท.และภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อสำรวจ และประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น

“รัฐบาลจะใช้เครื่องมือทุกอย่าง รวมถึงกระทรวงแรงงาน และประกันสังคม เพื่อช่วยนายจ้างจ่ายเงินเดือนลูกจ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการไล่คนงานออกฟื้นฟูชีวิต และฟื้นฟูธุรกิจ โดยในระยะยาว จะไม่แค่ฟื้นฟูสั้นแต่ต้องฟื้นฟูให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม”

ขณะที่ภาคเอกชนในพื้นที่เสนอแนวคิดการฟื้นฟูในระยะยาว เช่น การพัฒนาหาดใหญ่เป็นสมาร์ตซิตี้ การถอดบทเรียนจากภัยพิบัติเพื่อลงทุนในระบบป้องกันภัย และโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต และการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในพื้นที่ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์