'เหล็กไทย' ลุ้นขึ้นฐานผลิต Green Steel โลก จี้รัฐวางยุทธศาสตร์เศษเหล็ก-ไฟสะอาด

'เหล็กไทย' ลุ้นขึ้นฐานผลิต Green Steel โลก จี้รัฐวางยุทธศาสตร์เศษเหล็ก-ไฟสะอาด

“อุตสาหกรรมเหล็กไทย" ลุ้นขึ้นฐานผลิต ‘Green Steel’ โลก แนะภาครัฐต้องเร่งวางยุทธศาสตร์เศษเหล็กระดับชาติ ดันการใช้ไฟฟ้าสีเขียว

KEY

POINTS

  • อุตสาหกรรมเหล็กไทยมีจุดแข็งด้านการผลิตคาร์บอนต่ำจากการใช้เตาไฟฟ้า (EAF) ซึ่งใช้เศษเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก ทำให้มีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต Green Steel
  • ไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 2 ประการ คือ ปัญหาเศษเหล็กไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ต้องนำเข้าท่ามกลางภาวะขาดแคลนทั่วโลก และไฟฟ้าสีเขียวยังไม่พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ
  • เสนอให้ภาครัฐกำหนดนโยบายจัดการ "เศษเหล็ก" เป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ โดยสงวนไว้ใช้ในประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาระบบรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ เช่น รถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน (ELV)
  • เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานด้าน "ไฟฟ้าสะอาด" โดยการเปิดเสรีไฟฟ้า (Third Party Access) และพัฒนาระบบรับรองไฟฟ้าสีเขียวแบบรายชั่วโมง (Granular Certificate) เพื่อให้ผู้ผลิตเข้าถึงพลังงานสะอาดในต้นทุนที่แข่งขันได้

การเร่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 กำลังผลักอุตสาหกรรมเหล็กโลกเข้าสู่การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยประเทศที่ใช้เตาถลุงถ่านหิน (BF/BOF) เป็นฐานหลัก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และอินโดนีเซีย เผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้เหล็กคาร์บอนสูงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดยุโรปอย่างต่อเนื่อง

ประเทศไทยแม้ไม่มีการถลุงเหล็กจากแร่ แต่มีฐานการผลิตแบบเตาไฟฟ้า (EAF) ที่ใช้เศษเหล็กเป็นหลัก ทำให้มีจุดแข็งด้านคาร์บอนต่ำ โดยการผลิตเหล็กจาก Scrap-EAF ปล่อย CO₂ เพียง 0.7–0.9 ตันต่อเหล็ก 1 ตัน ต่ำกว่าประเทศผู้ผลิตเหล็กต้นน้ำที่พึ่งถ่านหินซึ่งปล่อย 1.8–2.3 ตันต่อเหล็ก 1 ตัน

อย่างไรก็ตาม ไทยกำลังเผชิญปัจจัยจำกัดสำคัญ 2 ประการ คือ 1. เศษเหล็กไม่เพียงพอ ไทยมีเศษเหล็กหมุนเวียน 4.5–5 ล้านตัน/ปี แต่ต้องใช้ 6–6.5 ล้านตัน/ปี ต้องนำเข้าเพิ่ม 1.5–2 ล้านตัน/ปี ขณะที่ทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ “ยุคเศษเหล็กขาดแคลน” หลายประเทศเริ่มจำกัดการส่งออก

2. ไฟฟ้าสีเขียวยังไม่พร้อม  ไทยยังไม่มีระบบรับรองไฟฟ้าสะอาดแบบรายชั่วโมง (Granular Certificate) และไฟฟ้ากริดยังมีคาร์บอนสูง ทำให้ต้นทุน Green Steel สูงกว่าที่ควร

เทคโนโลยี Green Steel โลกยังพัฒนาไม่เต็มรูปแบบ

นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แนวทางลดคาร์บอนของอุตสาหกรรมเหล็กมี 2 ทิศทางหลัก คือ (1) ใช้ Green Hydrogen แทนถ่านหินในกระบวนการ DRI และ (2) เพิ่มสัดส่วนการผลิตด้วยเศษเหล็กผ่าน EAF

แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โรงงาน H₂-DRI ขนาดใหญ่ทั่วโลกยังไม่พร้อมเชิงพาณิชย์ก่อนปี 2028–2035 และต้องการเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ต่อโครงการ ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ยังไม่สามารถให้ไฟฟ้าสะอาดแบบต่อเนื่องได้

นำเข้า DRI ยังไม่ใช่คำตอบของไทย ปล่อยคาร์บอนยังสูง

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลวิเคราะห์ พบว่า การผลิตเหล็กในไทยด้วยการนำเข้า DRI จากตะวันออกกลางยังมี CO₂ intensity รวม 0.9–1.2 tCO₂/t steel แม้ต่ำกว่า BF/BOF แต่ยังไม่เข้ากลุ่ม Green Steel ที่ควรอยู่ต่ำกว่า 0.2–0.5 tCO₂/t และไม่ช่วยเพิ่มความได้เปรียบด้าน CBAM ในระยะสั้น เพราะเฟสปัจจุบันคิดเฉพาะ Scope 1 ไม่รวมไฟฟ้าและ upstream emissions

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวให้ความเห็นว่า ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า แนวทางที่มีศักยภาพที่สุดในการสร้าง Green Steel ให้ไทย คือการผลิตด้วย Scrap-EAF ผสานไฟฟ้าสีเขียวผ่านระบบ TPA และการพัฒนา Green DRI ภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ

ดังนั้น ประเทศไทยควรสงวนเศษเหล็กไว้ใช้ภายในประเทศ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบคาร์บอนต่ำที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรม downstream เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ต้องการวัสดุคาร์บอนต่ำตามมาตรฐานอาคารเขียว

นำเข้า DRI จำนวนมากเพื่อส่งออกอาจไม่คุ้ม โดยมีสาเหตุมาจากเหล็กเป็นสินค้า margin ต่ำ ต้องแข่งขันด้วยขนาดและต้นทุนพลังงาน ซึ่งไทยเสียเปรียบ, ค่าไฟไทยสูงกว่าคู่แข่งหลายประเทศ, CBAM ไม่ได้ให้ประโยชน์เพิ่มเติมต่อเหล็กจาก DRI ในช่วง 2026–2028 และต้นทุนโลจิสติกส์นำเข้า DRI สูง อีกทั้ง การใช้เศษเหล็กไทยไปผสมเพื่อผลิตเหล็กส่งออก ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมภายใน

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อวางฐาน Green Steel ของไทย ประกอบด้วย 1. จัดการเศษเหล็กเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมพัฒนาระบบรีไซเคิลรถหมดอายุ (ELV) 2. เปิดเสรีไฟฟ้า Third Party Access เพื่อให้เข้าถึงไฟฟ้าสะอาด 3. พัฒนาระบบรับรองไฟฟ้าสีเขียวแบบรายชั่วโมง (Granular Certificate) 4. ส่งเสริมตลาด Green Steel Premium ในประเทศ และ 5. พัฒนา Green DRI ภายในประเทศเพื่อความมั่นคงวัตถุดิบ

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ผู้ให้ข้อมูล ระบุว่า บทความนี้เป็นข้อวิเคราะห์เชิงวิชาการและเชิงนโยบายสาธารณะ ใช้ข้อมูลทางเทคนิคและข้อมูลสาธารณะเท่านั้น ไม่ได้มุ่งพาดพิง วิจารณ์ หรือกล่าวหาโครงการ บริษัท หรือนิติบุคคลใดเป็นการเฉพาะ การวิเคราะห์ทั้งหมดจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อการนำเสนอยุทธศาสตร์ Green Steel ของประเทศไทยเท่านั้น