แนวทางสำหรับกลยุทธ์ปี 2569 (ตอน 1) | มองมุมใหม่

ในปี 2569 สำหรับผู้บริหารแล้วคำถามสำคัญ ไม่ได้อยู่แค่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร? หรือ AI จะมาแย่งงานไหม? แต่ควรจะเป็นว่ากลยุทธ์แบบเดิมๆ จะช่วยทำให้องค์กรประสบความสำเร็จต่อไปหรือไม่?
หลายองค์กรจะเริ่มรู้สึกเหมือนกันว่าสูตรกลยุทธ์เดิมๆ ที่เคยได้ผลไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทาง หรือ ลดต้นทุน หรือ การทำโปรโมชั่น หรือ แข่งในเรื่องราคา เป็นสูตรเก่าที่เริ่มเห็นผลช้าลงเรื่อยๆ
ขอนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ทางกลยุทธ์สำหรับปี 2569 ที่จะมาถึงนี้ โดยแนวคิดสำหรับกลยุทธ์เหล่านี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จหรือกลยุทธ์ที่สามารถยกไปใช้ได้เลย แต่เป็นมุมมองใหม่ๆ ที่ผู้บริหารพิจารณานำไปใช้ ปรับให้เข้ากับบริบทของตนเอง และเป็นทางเลือกที่จะออกจากกลยุทธ์รูปแบบเดิมๆ ได้
1. Smart Efficiency การลดต้นทุนให้ถูกจุด ปีหน้าจะเห็นการประกาศลดต้นทุนขององค์กรต่างๆ มากขึ้น สิ่งที่ผู้บริหารควรต้องคิดก่อนคือ การหา Good Cost และ Bad Cost ให้เจอ ไม่ใช่ว่าจะลดต้นทุนเท่าไร แต่เป็นต้นทุนไหนควรถูกลด และต้นทุนไหนควรถูกเพิ่ม
Bad Cost คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความซับซ้อน กระบวนการ ขั้นตอน พิธีการที่มาก ความซ้ำซ้อนในการทำงาน ระบบที่เก่า งานที่ทำแล้วต้องทำใหม่ รวมถึงขั้นตอนอนุมัติและการตัดสินใจที่มากมายและยาวนาน ต้นทุนเหล่านี้ไม่ปรากฏในงบการเงิน แต่เป็นต้นทุนแฝงที่ถ้าลดได้แล้ว จะทำให้งบการเงินดีขึ้น
ในทางกลับกัน Good Cost คือ ค่าใช้จ่ายที่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เช่น การพัฒนาคน การลงทุนข้อมูลและเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ การออกแบบกระบวนการใหม่ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อคิดจะลดต้นทุนควรจะจำแนกให้ชัดก่อนว่าอะไรคือ Bad Cost ที่อาจจะไม่ได้ปรากฎในงบการเงิน แต่สมควรอย่างยิ่งที่จะลด และ อะไรคือ Good Cost ที่ควรจะมุ่งเน้นและอาจจะต้องลงทุนให้มากขึ้น
2.Time Advantage การตอบโจทย์ความคุ้มค่าของเวลาของลูกค้า ในปัจจุบันนอกจากคุณภาพและราคาแล้ว ลูกค้ายังมองหาด้วยว่าสินค้าและบริการดังกล่าวจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้น หรือประหยัดเวลาได้มากขึ้นหรือไม่? ลูกค้าให้ความสำคัญกับเวลามากขึ้นเนื่องจากเวลาของคนหายไปมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เทคโนโลยีที่คิดว่าจะทำให้คนได้มีเวลามากขึ้น กลับแข่งกันแย่งเวลาไปมากขึ้น (ตัวอย่างเช่นแอปต่างๆ ในโทรศัพท์ที่พยายามแย่งเวลาที่คนมีในแต่ละวัน) ทำให้คนรู้สึกว่าเวลาว่างที่มีนั้นน้อยลง
ดังนั้น ลองปรับแนวคิดใหม่ว่าแทนที่จะเป็น Value for Money ก็เปลี่ยนเป็น Value for Time ที่ธุรกิจออกแบบสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าเสียเวลาน้อยที่สุด สับสนน้อยที่สุด ใช้พลังสมองน้อยที่สุด
นอกจากนั้นยังสามารถนำแนวคิด Value for Time ไปใช้กับการบริหารภายในได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การลดเวลาที่เสียไปกับการประชุมที่ไม่จำเป็น การกรอกข้อมูลซ้ำๆ การรอการตัดสินใจหลายขั้นตอนแบบไม่คุ้มค่า แนวคิดนี้ชวนให้มองว่าเวลาของลูกค้าและพนักงานเป็นอีกทรัพยากรที่สำคัญ
เมื่อลูกค้าเลือกที่จะซื้อสินค้าหรือบริการ เขาอาจจะเลือกแบรนด์ที่คุ้มเวลามากที่สุด และถ้าสามารถออกแบบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์นี้ได้ องค์กรก็สามารถที่จะเกิดข้อได้เปรียบด้านเวลา หรือ Time Advantage ที่คู่แข่งตามได้ยาก
3.Trust Capital ความเชื่อใจ เป็นปัจจัยสำคัญในทางธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคที่ข้อมูลเต็มไปหมด การรีวิวมีอยู่ทุกที่ ข่าวลือกระจายเร็วกว่าข่าวจริง ความเชื่อใจของลูกค้าไม่ใช่สิ่งที่ได้มาแล้วจะอยู่ตลอดไป Trust Capital หรือ ทุนความเชื่อใจ กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกธุรกิจ แม้ธุรกิจอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีหรือถูกที่สุดก็ตาม
Trust Capital ไม่ได้สร้างจากการทำการตลาด การสร้างภาพลักษณ์หรือแบรนด์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากประสบการณ์ทุกจุดสัมผัสระหว่างลูกค้ากับธุรกิจ รวมถึงวิธีที่องค์กรปฏิบัติต่อพนักงานด้วย เพราะสุดท้ายทุกอย่างสะท้อนออกมาสู่ลูกค้าในที่สุด
ผู้บริหารจะต้องถามตนเองว่าสิ่งที่องค์กรกำลังทำอยู่นั้นทำให้ความเชื่อใจที่ลูกค้ามีต่อองค์กรเพิ่มขึ้นหรือลดลง? ยิ่งในยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกได้มากมาย แบรนด์ที่ลูกค้าสามารถเชื่อและไว้วางใจได้ จะได้รับโอกาสเสมอแม้ในยามวิกฤติ
ในสัปดาห์หน้าจะมาต่อกันที่แนวคิดสำหรับกลยุทธ์ประการอื่นๆ ที่ผู้บริหารสามารถลองพิจารณาสำหรับการเลือกที่จะนำมาคิด ปรับ และใช้สำหรับปี 2569 กันต่อไปครับ







