'อนุทิน' มอบนโยบายจัดทำงบปี 2570 วงเงิน 3.788 ล้านล้าน รับมือความเสี่ยง 4 ด้าน

'อนุทิน' มอบนโยบายจัดทำงบปี 2570 วงเงิน 3.788 ล้านล้าน รับมือความเสี่ยง 4 ด้าน

“อนุทิน” มอบนโยบายจัดทำงบปี 2570 วงเงิน 3.788 ล้านล้าน ตอบโจทย์แก้ปัญหา 4 ภัยที่ประเทศต้องเผชิญหน้าทั้งภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ ย้ำลดขาดดุล–คุมหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% แนะใช้แหล่งเงินตามกฎหมายที่นอกเหนือจากงบประมาณช่วยลงทุน เช่น PPP เงินสะสมส่วนท้องถิ่น

KEY

POINTS

  • “อนุทิน” มอบนโยบายจัดทำงบปี 2570 วงเงิน 3.788 ล้านล้าน
  • มุ่งตอบโจทย์แก้ปัญหา 4 ภัยที่ประเทศต้องเผชิญหน้าทั้งภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ
  • ย้ำลดขาดดุล–คุมหนี้สาธารณะไม่เกิน 70%
  • แนะใช้แหล่งเงินตามกฎหมายที่นอกเหนือจากงบประมาณช่วยลงทุน เช่น PPP กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเงินสะสมองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น

วันนี้ (1 ธ.ค.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2570 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้า และการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยมีนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวรายงานและเปิดการประชุม

นายอนันต์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2570 โดยให้ดำเนินการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนด้านความมั่นคง เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ตลอดจนแผนปฏิบัติราชการของแต่ละกระทรวง และให้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการจัดสรรงบประมาณ มุ่งแก้ปัญหาเร่งด่วน สร้างโอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคำนึงถึง การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส คุ้มค่า และประหยัดที่สุด โดยเน้นการจัดสรรงบประมาณแบบมุ่งพื้นที่ (area-based) ให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ พร้อมกำหนดให้ทุกหน่วยงานจัดทำคำของบประมาณ และแผนการใช้จ่ายงบปี 2570 ส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ 26 ธันวาคม 

ด้านนายอนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า งบประมาณปี 2570 เป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญความท้าทายพร้อมกันหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเข้าสู่สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้รัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการป้องกันภัยพิบัติ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งต้องเร่งปรับระบบราชการให้ทันสมัย ใช้ดิจิทัล และเทคโนโลยีมาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

“งบปี 2570 จะต้องตอบโจทย์ให้ครบ สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลสังคม และการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด นายอนุทิน กล่าว พร้อมย้ำว่ารัฐบาลกำหนดนโยบายการคลังตามแผนการคลังระยะปานกลาง ปี 2570–2573 แม้งบประมาณปี 2570 ยังเป็นงบแบบขาดดุล แต่รัฐบาลมีเป้าหมายลดการขาดดุลลงต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต และรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม”

สำหรับในด้านความมั่นคง นายอนุทิน กล่าวชัดถึงกรณีข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเอ่ยชื่อ “กัมพูชา” โดยตรง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะยึดแนวทางสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาควบคู่กับการปกป้องอธิปไตย และเกียรติภูมิของชาติอย่างถึงที่สุด พร้อมยืนยันให้การสนับสนุนกองทัพ หน่วยงานความมั่นคง และฝ่ายปกครองอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และผลประโยชน์ของประเทศ

ทั้งนี้ ครม.ได้อนุมัติแผนการคลังระยะปานกลาง กำหนดเป้าหมายปรับลดการขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 3% ของจีดีพีภายในปีงบประมาณ 2572 และคงสัดส่วนหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ของจีดีพี ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2570 ประมาณ 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย ขณะที่รายจ่ายประจำยังมีสัดส่วนสูงถึง 70–80% ของรายจ่ายรวม ทำให้มีพื้นที่สำหรับรายจ่ายลงทุนจำกัด

นายกฯ กล่าวต่อว่า ขอให้ทุกหน่วยงาน ของบประมาณเท่าที่จำเป็นจริงๆ โดยให้ระมัดระวังการเพิ่มรายจ่ายประจำ และหากจะเพิ่มควรเป็นรายจ่ายลงทุนที่สร้างสินทรัพย์หรือโครงสร้างพื้นฐานถาวร มากกว่ารายจ่ายที่ใช้แล้วหายไป พร้อมย้ำแนวคิด “value for money” ว่า “การใช้จ่ายงบประมาณทุกบาทต้องคุ้มค่าเงินภาษีประชาชน ใช้ไปแล้วต้องเห็นผลลัพธ์ตอบสนองกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลจัดกลุ่มนโยบายหลักเพื่อแก้ปัญหา และพัฒนาประเทศออกเป็น 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านความมั่นคง 3) ด้านสังคม 4) ด้านภัยธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม  5) ด้านการบริหารภาครัฐ และการปฏิรูปกฎหมาย ควบคู่กับกรอบคิด “4 ภัย” ที่รัฐบาลต้องเร่งรับมือ คือ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ โดยให้งบประมาณปี 2570 ต้องช่วยให้ประเทศ “เดินพ้น 4 ภัย” ไปให้ได้เร็วที่สุด

'อนุทิน' มอบนโยบายจัดทำงบปี 2570 วงเงิน 3.788 ล้านล้าน รับมือความเสี่ยง 4 ด้าน

“ในช่วงที่รัฐบาลของผมได้เข้ามาบริหารประเทศนั้น ผมอยากจะนามสกุล ‘หลีกภัย’ แต่ผมกลายเป็นนามสกุล ‘เจอภัย’ เจอเข้าไป 4 ภัยเลย ก็คือ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

สำหรับในด้านเศรษฐกิจ นายกฯ ระบุว่า รัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นควบคู่กับการวางรากฐานระยะยาว ตามแนวทางของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส โดยมาตรการระยะสั้นที่ผ่านมา เช่น การเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการ คนละครึ่งพลัส โครงการ เที่ยวดีมีคืน และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานรัฐ ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท พร้อมกับมาตรการลดภาระหนี้ครัวเรือน เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ และเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะเร่งยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยบนเส้นทาง “เศรษฐกิจสีเขียว” และเศรษฐกิจดิจิทัล โดยสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ดิจิทัล AI ดาต้าเซนเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมสีเขียวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และไม่ให้สินค้าไทยติดข้อจำกัดด้านมาตรการการค้าสีเขียวของต่างประเทศ

ด้านเกษตร รัฐบาลจะบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับเหมาะสม ยกระดับเกษตรกรให้เป็น “เกษตรกรยุคใหม่” ที่ผลิตสินค้าโดยคำนึงถึงมาตรฐานสิ่งแวดล้อม รองรับเกณฑ์ส่งออกในตลาดโลก ส่วนด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลจะใช้ศักยภาพการท่องเที่ยวเป็น “เครื่องยนต์สำคัญ” ในการสร้างรายได้ โดยผลักดันให้การท่องเที่ยวกระจายตัวไปทั่วประเทศ เน้นแนวคิด “เมืองหน้าท่องเที่ยว” ให้ทุกจังหวัดงัดจุดเด่น วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของตนเองออกมาดึงดูดนักท่องเที่ยว

 

ในด้านการต่างประเทศ นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเร่งเดินหน้าเจรจาเพื่อรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า และความเปลี่ยนแปลงในภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลก พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และดึงดูดการลงทุนจากประเทศคู่ค้า และประชาคมระหว่างประเทศมากขึ้น

ในด้านความมั่นคง นายอนุทิน กล่าวชัดถึงกรณีข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเอ่ยชื่อ “กัมพูชา” โดยตรง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะยึดแนวทางสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาควบคู่กับการปกป้องอธิปไตย และเกียรติภูมิของชาติอย่างถึงที่สุด พร้อมยืนยันให้การสนับสนุนกองทัพ หน่วยงานความมั่นคง และฝ่ายปกครองอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และผลประโยชน์ของประเทศ

ด้านสังคม รัฐบาลกำหนดให้การปราบปรามสแกมเมอร์ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี การพนันผิดกฎหมาย ยาเสพติด และขบวนการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเป็น “วาระสำคัญ” ของรัฐบาล พร้อมยืนยันว่าจะยึดหลักนิติธรรม และความโปร่งใส ไม่ให้ผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องมาบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน

ในด้านภัยธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญภัยพิบัติรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอุทกภัยในหลายจังหวัด เช่น พื้นที่หาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก รัฐบาลจึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งเยียวยาอย่างครอบคลุม และทั่วถึง ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือประชาชนเร็วที่สุด พร้อมฝากทุกกระทรวง–หน่วยงาน หากมีการจัดอบรม สัมมนา หรือประชุมเชิงปฏิบัติการ ให้พิจารณาเลือกจัดในจังหวัดที่ประสบภัย เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าไปฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น

นายกฯ ยังชี้ให้เห็นปัญหาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอดีตที่มุ่งความสะดวกด้านคมนาคมจนลืมคำนึงถึงเส้นทางน้ำ ทำให้บางพื้นที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมเพิ่มขึ้น พร้อมระบุว่ารัฐบาลจะเร่งปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบด้านการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถประกาศเขตภัยพิบัติได้ “ก่อนภัยจะเกิด” เมื่อมีสัญญาณหรือข้อมูลเตือนล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เกิดความเสียหายแล้วจึงดำเนินการ

ด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ด้วยการลดการเผาในภาคเกษตร ส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานทดแทนรูปแบบต่างๆ และการจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานสากล “แม้ปี 2593 หลายคนในห้องนี้อาจไม่ได้อยู่ในวัยทำงานแล้ว แต่เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตของลูกหลาน และประเทศ” นายอนุทิน กล่าว

ในด้านการบริหารภาครัฐ และการปฏิรูปกฎหมาย รัฐบาลมุ่งสู่การเป็น “รัฐบาลดิจิทัล” ให้บริการประชาชนอย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลมากขึ้น ควบคู่กับการเร่ง “regulation guillotine” ทบทวน ยกเลิก หรือปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อประชาชน และภาคธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

นายอนุทิน ระบุว่า นอกเหนือจาก 5 ด้านนโยบายหลักแล้ว รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับ “การวางรากฐานของประเทศ” โดยเฉพาะรากฐานสำคัญที่สุดคือ “คนไทยคุณภาพ” ต้องเร่งพัฒนาศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย ผ่านการปฏิรูปการศึกษาให้เป็น “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนสามารถอัปสกิล–รีสกิลได้ตลอดเวลา เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทั้งด้านคุณภาพการศึกษา มาตรฐานสถานศึกษา และโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้

ในระบบสุขภาพ นายกฯ ย้ำว่า ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจากนานาชาติในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่รัฐบาลยังต้องเดินหน้าปรับปรุงคุณภาพบริการ เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการปฐมภูมิ ใช้เทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวก เน้นการดูแลสุขภาพเชิงรุก ป้องกัน และจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมย้ำว่าการลงทุนด้านส่งเสริมสุขภาพ “ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง” แต่เป็นการลดค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยต้องดูแลคนไทยตั้งแต่ “ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”

 

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลจะผลักดันการลงทุนระบบคมนาคม และโลจิสติกส์ทั้งทางอากาศ ทางราง ทางถนน และทางน้ำ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทดแทน การประหยัดพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลคุณภาพสูง เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ทั่วถึง

นายอนุทิน กล่าวว่า แนวนโยบาย และยุทธศาสตร์ดังกล่าวถูกแปลงเป็น “ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ” ปี 2570 อย่างเป็นระบบ ให้เป็น “Pro–Growth Budget Initiative” ที่ทั้งรักษาเสถียรภาพการคลัง และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยสำนักงบประมาณ และรัฐบาลจะร่วมกันพิจารณางบประมาณอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกโครงการตอบโจทย์การแก้ปัญหา 4 ภัย และการพัฒนาประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานใช้งบประมาณแหล่งอื่นควบคู่กับงบประมาณแผ่นดินตามที่กฎหมายอนุญาต เช่น เงินกู้ โครงการร่วมลงทุนรัฐ–เอกชน (PPP) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) รวมทั้งให้หน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ หรือรายได้สะสม นำเงินดังกล่าวมาใช้ดำเนินภารกิจก่อน เพื่อลดภาระงบประมาณในอนาคต

นายอนุทิน ย้ำว่า รัฐบาลจะยึดหลักการทำงานที่พิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และบริหารราชการแผ่นดินบนหลักนิติธรรม และธรรมาภิบาล พร้อมฝากถึงข้าราชการทุกฝ่ายว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องร่วมมือกันทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน” พร้อมขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อไม่ให้ประเทศต้องเผชิญวิกฤติการเงินการคลังในอนาคต

หลังเสร็จสิ้นการมอบนโยบาย ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณได้มอบของที่ระลึกแด่นายกรัฐมนตรี ก่อนเข้าสู่ช่วงการชี้แจงรายละเอียดเชิงเทคนิคด้านการจัดทำงบประมาณปี 2570 และการแบ่งกลุ่มหารือเชิงลึกเพื่อให้แต่ละหน่วยงานนำแนวนโยบายที่ได้รับไปปรับใช้ในการจัดทำคำของบประมาณต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์