‘วิทัย’ ย้ำ ธปท.ต้องเอื้อมมือเข้าถึงประชาชน ‘ออมสิน’ จับมือ ‘สถาบันป๋วย’ แก้ปัญหาสินเชื่อ SME

‘ธนาคารออมสิน’ จับมือ ‘สถาบันป๋วย’ แก้ปัญหา SME เข้าไม่ถึงสินเชื่อ ‘วิทัย’ ย้ำ แบงก์ชาติต้องเอื้อมมือติดดิน เข้าถึงประชาชน
ธนาคารออมสิน และ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ลงนาม MOU โครงการศึกษาครัวเรือนฐานรากเพื่อสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2568
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานลงนาม MOU ว่า การลงนาม MOU ในครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะช่วยผลักดันการแก้ปัญหาอีกด้านหนึ่ง คือปัญหาที่ผู้ประกอบการรายย่อยหรือเอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อนำมาต่อยอดการลงทุนได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เหนี่ยวรั้งเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน
สำหรับบทบาทของ ธปท.ระยะที่ผ่านมา มักเน้นการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และนโยบายการเงินในภาพรวม แต่ในปัจจุบัน ธปท. หันมาส่งเสริมการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและมาตรการเฉพาะจุดมากขึ้น เพราะเราต้องการที่จะสร้างสร้างแรงกระตุ้นที่ได้ผลจริงในระยะยาว
รวมทั้งเมื่อไม่นานมานี้ ธปท.ริเริ่มโครงการแก้หนี้ครัวเรือนสำหรับผู้มีหนี้ต่ำกว่าแสนบาท โดยการโอนหนี้ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิทย์ จำกัด (SAM) และผลักดันมาตรการโซเชียลเอเอ็มซีเพื่อลดหนี้ ทั้งให้ดอกเบี้ยที่ต่ำลง และทำการแฮร์คัตเงินต้นให้ลึก เพื่อให้ประชาชนหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย
ในอีกด้านหนึ่ง ธปท. มีความตั้งใจเข้าไปแก้ปัญหาของผู้ประกอบการรายย่อยหรือ เอสเอ็มอี ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อหรือบริการทางการเงิน ผ่านการตั้งเป้าหมายในการลดอุปสรรค และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทยและกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ธปท.พบว่า แม้จะมีนโยบายสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ แต่เมื่อนำไปใช้จริงก็มักจะปล่อยให้แต่เฉพาะกับคนกลุ่มเดิมซ้ำ ๆ เช่น พนักงานเงินเดือนที่มีรายได้แน่นอน
ส่วนคนที่ไม่มีประวัติเครดิตก็จะไม่สามารถขอสินเชื่อได้ไปตลอด ในคราวนี้ ธปท. จึงมีความตั้งใจว่า โครงการที่ออกไปจะต้องสามารถดึงคนที่ไม่เคยได้รับสินเชื่อมาก่อนเพราะไม่มีประวัติเครดิตให้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้นอย่างแท้จริง
“โครงการสินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส” ของธนาคารออมสิน มีแนวทางชัดเจนว่า ควรจะปรับปรุงโครงการจากครั้งก่อนหรือทำการขยายผลอย่างไร โดยอาจเริ่มต้นจากการปล่อยสินเชื่อจำนวนน้อย ๆ ประมาณหนึ่งหมื่นบาทก่อน และหากผู้กู้ผ่อนได้ในระยะเวลา 12 เดือน ธนาคารออมสินก็อาจพิจารณาขยายเป็นสองหมื่นหรือสี่หมื่นบาทได้
ทั้งนี้ ธปท.จะช่วยสนับสนุนข้อมูลจากฐานข้อมูล Your Data ของ ธปท. ให้ธนาคารสามารถทำการประเมินและกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) ให้ครอบคลุมคนกลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจขนาดย่อยแล้ว ก็จะเป็นการแก้หนี้นอกระบบไปพร้อมกันด้วย
สำหรับประเด็นความกังวลที่ว่า อาจเกิดปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่รุนแรงขึ้น นายวิทัยมองว่าคงไม่เป็นปัญหา เพราะสามารถนำกำไรจากการปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจเชิงพาณิชย์มาทดแทนได้
“ใครที่เดือดร้อน เราก็จะพยายามเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือ ธปท. จะต้องติดดินแก้ปัญหาประชาชนมากขึ้น การที่จะออกมาโครงการเดียวแล้วจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมดนั้นคงไม่มี จะต้องทำไปเรื่อย ๆ ผมเชื่อมั่นจริง ๆ ว่าในการศึกษาครั้งนี้ จะได้ผลลัพธ์อะไรที่ตอบโจทย์ สร้างความแตกต่างในนโยบาย และจะเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ช่วยคนได้จริง ๆ”
นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้ว่าการธนาคารออมสิน กล่าวถึงรายละเอียดของการศึกษาในครั้งนี้ว่า มีครัวเรือนกว่า 30% ที่ยังเป็นกลุ่มอันเดอร์เซิร์ฟ หรือกลุ่มที่เข้าไม่ถึงการให้บริการทางการเงินได้ จากปัญหาการขาดรายได้ที่แน่นอน และขาดประวัติเครดิตทางการเงิน ทำให้ต้องหันไปใช้เงินกู้ดอกเบี้ยสูงนอกระบบ ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเพิ่มต่อเนื่อง
ธนาคารออมสิน มีเป้าหมายที่จะช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและยั่งยืนได้ ผ่านโครงการ “สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส” ซึ่งเป็นประตูแห่งโอกาสบานใหม่ ที่จะช่วยให้ประชาชนเริ่มสร้างคะแนนเครดิตได้อย่างทั่วถึง โดยตลอดระยะเวลาที่ได้ดำเนินโครงการมา มีคนไทยสร้างข้อมูลเครดิตให้กับตนเองแล้วกว่าสองแสนราย
นอกจากนี้ ธนาคารออมสินยังได้จัดตั้ง “สถาบันวิจัยเศรษฐกิจฐานราก” เพื่อทำการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้ธนาคารสามารถออกแบบเครื่องมือได้ตรงจุด และเป็นประโยชน์กับประชาชน และเป็นธนาคารที่ทำงานเพื่อสังคมได้อย่างแท้จริง
“ธนาคารออมสินในฐานะธนาคารเพื่อสังคม หรือ โซเชียลแบงก์ มุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แก้ปัญหาหนี้สิน และยกระดับทักษะอาชีพ” นางลภาวรรณ กล่าว
ในความร่วมมือครั้งนี้ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพื่อศึกษาวิถีชีวิต ความต้องการ และความสามารถในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินของประชาชน
ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ไม่เพียงสร้างโอกาสให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ทางวิชาการอย่างมหาศาลในการศึกษาและออกแบบนโยบายทางการเงิน ทั้งยังช่วยให้ข้อมูลกับสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อตามความเสี่ยงได้ดีมากยิ่งขึ้น
ดร.โสมรัศมิ์ พบว่า จากผลการศึกษา กว่า 67% ของประชาชนในเขตชนบท และ 37% ของประชาชนในเขตเมืองยังพึ่งพิงแหล่งเงินนอกระบบ โดยที่ผ่านมาโครงการ “สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส” ได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้วให้ผู้ขอสินเชื่อกว่า 2-3 แสนราย เราว 2-4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการดึงคนที่เคยอยู่นอกระบบกลับเข้าระบบอีกครั้ง โดยระยะ 3 ปี ข้างหน้าอาจช่วยเพิ่มเติมได้มากถึง 1 ล้านราย
สำหรับการศึกษาวิจัยในโครงการนี้จะทำให้เราสามารถเห็นคนที่ไม่เคยอยู่ในระบบมาก่อน เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดี ในการศึกษาว่าคนเหล่านี้มีพฤติกรรมทางการเงิน หรือการได้มาซึ่งรายได้อย่างไร โดยการดำเนินการจะมีทั้งหมดสี่ด้านด้วยกัน ได้แก่
1.สำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เข้ามาใหม่จากนอกระบบ และสังเกตดูพฤติกรรมทางการเงินอย่างใกล้ชิด
2.ช่วยเหลือธนาคารในการออกแบบสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมทั้งแสวงหากลไกที่จะช่วยให้ลูกหนี้สามารถชำระเงินคืนได้ โดยมีความยืดหยุ่น
3.เก็บข้อมูลก่อนและหลังเข้า และชี้ว่าชุดข้อมูลใดจะสามารถเป็นข้อมูลทางเลือกที่ไม่ใช่ข้อมูลเครดิตที่จะสามารถบอกได้ว่า ผู้ที่มาขอสินเชื่อสามารถชำระหนี้ได้จริง
4.ศึกษาว่าหลังจากได้สินเชื่อแล้วมีผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มตัวอย่างอย่างไร
ทั้งนี้ ดร. โสมรัศมิ์ เสริมว่า ไม่ใช่ว่าประชาชนไม่มีรายได้จึงชำระเงินไม่ได้ เพียงแต่รายได้ของเขาอาจไม่สม่ำเสมอ ด้วยเหตุนี้ การเรียกชำระคืนหนี้ให้มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การทำบัญชีเงินฝากสำหรับชำระหนี้ (Saving Account) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถนำเงินมาใส่ไว้ในบัญชีรอไว้ก่อนได้ อาจช่วยให้ผู้ที่มีรายได้ไม่ประจำ สามารถชำระหนี้ได้มากขึ้น







