'หอการค้าไทย' จี้รื้อกฎหมาย-ราชการ ชี้ไทยเสี่ยงถูกทิ้งกลางคลื่นโลกใหม่

"หอการค้าไทย" จี้รัฐบาล “รื้อกฎหมาย-ยกเครื่องระบบราชการ” ชี้ประเทศไทยเสี่ยงถูกทิ้งกลางคลื่นโลกใหม่ "เอกชน" ลุยเองทั้ง "สานนโยบาย-ต้านคอร์รัปชัน"
KEY
POINTS
- ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ชี้ว่ารากของปัญหาประเทศอยู่ที่ "ภาคการเมืองและระบบราชการ" โดยมีกฎหมายและกฎระเบียบที่ทับซ้อนเป็นกำแพงขวางการเติบโต
- กฎหมายไทยถูกระบุว่าเป็น "คอขวดใหญ่" ของระบบราชการที่ทำงานแบบ "แท่ง" แต่ละหน่วยงานไม่ยอมเสียอำนาจ ทำให้แนวคิด One Stop Service ไม่เกิดขึ้นจริง
- ต่างชาติเริ่มมองว่าไทยเปราะบางและประเมินว่า "เวียดนามก้าวหน้าเร็วกว่าไทยมาก" จึงจำเป็นต้องมีวาระแห่งชาติที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลแล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่
- เสนอให้รัฐบาลปรับโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่ ยกเครื่องกฎหมายที่ล้าสมัย และลดบทบาทรัฐในฐานะ "ผู้ขวางทาง" เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเอกชน
- ชี้ว่าหากไทยไม่เร่งปรับตัว ระบบราชการจะเป็นเกราะปิดกั้นโอกาส ในขณะที่โลกและคู่แข่งพุ่งไปข้างหน้ารวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า
วันนี้ (28 พ.ย. 2568) ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในงาน Spotlight Day 2025 "New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่" หัวข้อ Executive Roundtable/Driving in the Wave of Deglobalization จัดโดย SPOTLIGHT ว่า ความถดถอยของสถาบันหลักทั้ง 5 ด้าน ไม่ได้เกิดจากภาคธุรกิจ หากแต่ “รากของปัญหาอยู่ที่ภาคการเมืองและระบบราชการ” โดยเฉพาะการเมืองที่ไม่ชัดเจนและไม่ผลักดันให้ข้าราชการปรับตัว ขณะที่กฎหมายและกฎระเบียบที่ทับซ้อนกลายเป็นกำแพงขวางการเติบโตของประเทศ
อย่างไรก็ดี ต้องชื่นชมรัฐบาลชุดปัจจุบันที่นายกรัฐมนตรีได้เชิญภาคเอกชน ทั้งหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เข้าหารือก่อนการถวายสัตย์และแถลงนโยบาย โดยนโยบาย Quick Big Win หลายรายการมาจากข้อเสนอของเอกชนโดยตรง ถือเป็นสัญญาณบวกว่า “รัฐเริ่มฟังเอกชนมากขึ้น”
เอกชนเสนอ 3 การบ้านในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ขณะนี้เอกชนต้องเร่งลงมือทำด้วยตนเองใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1. สานต่อนโยบายที่ค้างท่อ โดยนโยบายที่รัฐบาลรักษาการในช่วง 4 เดือน ได้รับความเห็นชอบจาก ครม. แล้ว ต้องเร่งเดินหน้าให้จบกับระบบราชการ เพื่อไม่ให้โอกาสสูญเปล่า
2. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยตนเอง ไม่รอรัฐ ซึ่งหอการค้าไทยทำงานเชิงลึกกับจีน สหรัฐฯ และยุโรปจำนวนมาก ทั้งในเชิงธุรกิจ การค้า และความร่วมมือลงทุน หลายเรื่องเป็น งานลับที่ “ทำโดยไม่แจ้งรัฐบาล” เพื่อให้ทันต่อโอกาสและการแข่งขัน
3. ต่อต้านคอร์รัปชันแบบยกกำลัง เอกชนจับมือครั้งใหญ่ที่สุด ทั้ง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตลาดทุน และท่องเที่ยว เพื่อเตรียมเปิดตัวแคมเปญต่อต้านการ Corruption รณรงค์ก่อนการเลือกตั้งให้ประชาชน อย่าเลือกพรรคที่ไม่มีนโยบายต้านคอร์รัปชันอย่างเป็นทางการ
ประเทศต้องมี National Agenda เดินหน้าไม่สะดุด
ดร.พจน์ กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีวาระแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง เช่น คอร์รัปชัน การศึกษา หรือการยกระดับกฎหมาย ซึ่งทุกรัฐบาลต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลแล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ทุกครั้ง พร้อมสะท้อนเสียงจากต่างชาติที่เริ่มมองไทยเปราะบาง และบางประเทศประเมินว่า “เวียดนามก้าวหน้าเร็วกว่าไทยมาก
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ากฎหมายไทยคือ “คอขวดใหญ่” แห่งระบบราชการ ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่เอกชนเจอบ่อยคือ Fast Pass และ One Stop Service ที่ยังเป็นเพียงแนวคิดไม่ใช่ความจริง เพราะระบบกฎหมายไทยยังทำงานแบบ “แท่ง” ซึ่งแต่ละแท่งมีอำนาจ งบประมาณ และบุคลากรของตัวเอง จึงไม่อยากเสียอำนาจหรือถูกรวมศูนย์
"จุดที่แก้ยากที่สุดคือ กฎกระทรวง และ ประกาศกรม ที่เป็นอำนาจเฉพาะของหน่วยงาน และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ จึงไม่มีใครยอมยกเลิกง่าย ๆ"
ดร.พจน์ กล่าวว่า ด้านแนวคิด Fast Track ที่นายรัฐมนตรี นำร่องในพื้นที่ EEC ซึ่งรวบรวม 5-7 หน่วยงานด้านการลงทุน อาทิ BOI กระทรวงอุตสาหกรรม กรมศุลกากร แรงงาน และตม. มาอยู่ที่เดียวกัน มองว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้องและควรขยายผลทั่วประเทศ เพื่อปลดล็อกขั้นตอนราชการที่ซ้ำซ้อนและล่าช้า
รัฐต้องยกเครื่องกฎหมาย ปรับโครงสร้างทั้งระบบ
นอกจากนี้ ทุกคนรู้หมดแล้วว่ากฎหมายคือปัญหา หากรัฐบาลต้องการผลลัพธ์จริง ต้องเริ่มจากการปรับโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่ ยกเครื่องกฎหมายที่ล้าสมัย และลดบทบาทรัฐในฐานะ “ผู้ขวางทาง” ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของภาคเอกชน
"หากไทยไม่เร่งปรับตัว ระบบราชการจะยังเป็นเกราะแข็งที่ปิดกั้นโอกาส ในขณะที่โลกและคู่แข่งพุ่งทะยานไปข้างหน้ารวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า"







