MRC จ.เชียงราย ชู ร่างปฏิญญากรุงเทพฯ สู่การประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 5

MRC ถก แผนกลยุทธ์ MRC ค.ศ. 2026 – 2030 วางก้าวต่อไปในการพัฒนาลุ่มน้ำโขงอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน และเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำ MRC ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพ
นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยในการเป็นประธานการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 32 และการประชุมระหว่างคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 30 ที่จังหวัดเชียงราย ว่า
ปี พ.ศ. 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เนื่องจากเป็นปีแห่งการบรรลุความสำเร็จของแผนกลยุทธ์ MRC ค.ศ. 2021 – 2025 อย่างสมบูรณ์ และเป็นโอกาสครบรอบ 30 ปีของการลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2538 ซึ่งตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้ง 4 ประเทศสมาชิก คือ ไทย สปป.ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของลุ่มน้ำโขง รวมถึงการดำเนินมาตรการเพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
อีกทั้ง ยังได้รับความร่วมมืออันแน่นแฟ้นกับหุ้นส่วนการพัฒนาและพันธมิตร เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ในปีสำคัญเช่นนี้ จึงถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ประเทศไทยได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะมนตรี MRC ครั้งที่ 32 ที่มีวาระสำคัญเพื่อพิจารณาอนุมัติแผนกลยุทธ์ MRC ค.ศ. 2026 – 2030 (พ.ศ. 2569 – 2573) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญก้าวต่อไปในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานของ MRC ตลอดจนเตรียมความพร้อมสู่บทบาทที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นหลังปี พ.ศ. 2573
“โดยประเทศไทยได้เน้นย้ำการหลีกเลี่ยงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต ทั้งยังผลักดันให้มีความร่วมมือด้านการดูแลคุณภาพน้ำให้เข้มแข็งขึ้นในลุ่มน้ำโขงเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน”
วาระที่สำคัญอีกวาระหนึ่งได้แก่ การพิจารณา “ร่างปฏิญญากรุงเทพฯ” (Bangkok Declaration) ซึ่งจะเป็นเอกสารผลลัพธ์ที่ผู้นำจะประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน ในการที่จะใช้ประโยชน์จากน้ำโขงเพื่อการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการปกป้อง อนุรักษ์ รักษาไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความเข้มแข็งและเติบโตของประชาชนในลุ่มน้ำโขง โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของความร่วมมือ พันธมิตร และความมั่งคั่ง ท่ามกลางความท้าทายในภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 5 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ
ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างผู้นำประเทศสมาชิก MRC ที่มีกำหนดจัดขึ้นทุก 4 ปี ซึ่งผู้นำจากทั้ง 4 ประเทศ จะได้ร่วมลงนามรับรองปฏิญญา อันเป็นนโยบายและทิศทางการบริหารจัดการและพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องด้วยปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้ครบรอบวาระการดำเนินงานในฐานะประธานคณะมนตรี MRC ปี พ.ศ. 2568 แล้ว จึงมีความยินดีที่จะส่งมอบตำแหน่งประธานคณะมนตรี MRC ให้ นายจัน ดึ้ก แทง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม ประเทศเวียดนาม ดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2569 เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน สืบสานเจตนารมณ์ในการสร้างความยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงต่อไป
ด้าน นางรัชดา ธนาดิเรก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในนามรัฐบาลไทย โดยได้เน้นย้ำแนวทางสำคัญสำหรับการพัฒนาแผนกลยุทธ์ MRC ฉบับใหม่ ได้แก่
1) เน้นการจัดการลุ่มน้ำแบบปรับตัว ระหว่างประเทศสมาชิกและพันธมิตร โดยมุ่งเสริมกลไกความร่วมมือข้ามพรมแดนในการแก้ไขปัญหาระดับลุ่มน้ำ
2) ปรับปรุงการติดตามและจัดการคุณภาพน้ำ ทั้งแม่น้ำโขงสายหลักและแม่น้ำสาขาข้ามพรมแดน เพื่อรักษาระบบนิเวศและความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น
3) พัฒนาพลังงานน้ำอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนแนวทางที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงผลกระทบข้ามพรมแดน
4) สอดคล้องกับปฏิญญากรุงเทพฯ โดยเฉพาะด้านการเสริมสร้างความร่วมมือ โปร่งใส และเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และ 5) ส่งเสริมความยืดหยุ่นของชุมชนในลุ่มน้ำโขง ในการรับมือภัยพิบัติและความท้าทายด้านน้ำที่เกิดขึ้นใหม่ และขอยืนยันว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานใกล้ชิดกับทุกประเทศสมาชิก สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) หุ้นส่วนการพัฒนา ไปจนถึงพันธมิตรต่าง ๆ ในการเสริมสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกคนในลุ่มน้ำโขง
โดยการประชุมครั้งนี้ ร่วมด้วยนายจันทะเนด บัวละพารองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกสิกรรมและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทน สปป. ลาว ดร. โว วัน ฮุง รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทนเวียดนาม เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน รีสอร์ทเชียงราย จังหวัดเชียงราย และนายโส โส-พด เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำและอุตุนิยมวิทยา หัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชา เข้าร่วมประชุมทางออนไลน์
ในการนี้ นายชูชีพ พงษ์ชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยนางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คณะผู้แทนจาก 4 ประเทศสมาชิก ผู้แทนกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมการประชุม
ภายหลังการประชุม MRCลงพื้นที่ดูงานแนวป้องกันน้ำท่วมแม่น้ำรวก-แม่น้ำสายกรณีศึกษาความร่วมมือในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงข้ามพรมแดน
นายชุมลาภ เตชะเสน ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)เป็นผู้แทนประเทศไทยพร้อมด้วยคณะผู้แทนประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)ได้แก่ นายจันทะเนด บัวละพา รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกสิกรรมและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้แทนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามผู้แทนกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศร่วมลงพื้นที่ศึกษาดูงานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
โดยคณะได้เดินทางไปยังจุดศึกษาดูงาน จุดที่ 1 ณ สกายวอร์ค วัดพระธาตุดอยเวา จังหวัดเชียงราย เพื่อรับฟังบรรยายการดำเนินการโครงการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ทอดแนวยาวกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมา ความยาว 44.8 กิโลเมตร โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา ในการป้องกันผลกระทบจากภัยพิบัติและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่สำคัญตามแนวชายแดน มีเป้าหมายหลักเพื่อปรับปรุงสภาพการไหลของน้ำและป้องกันการสะสมของตะกอน การบริหารความเสี่ยงและการบรรเทาผลกระทบต่อชุมชนชายแดน
โดยเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมไทย - เมียนมา เกี่ยวกับเขตแดนคงที่ช่วงแม่น้ำสาย - แม่น้ำรวก (JCR)และMRCการศึกษาดูงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กรณีตัวอย่างเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนระหว่างสองประเทศทั้งในมิติด้านวิศวกรรม และด้านสังคม ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือระดับลุ่มน้ำอย่างยั่งยืน
จากนั้นคณะฯ ได้เดินทางไปยังจุดศึกษาดูงานจุดที่ 2 ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2531 ภายใต้พระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรมซึ่งเคยใช้ปลูกฝิ่น และเพื่อยกระดับชีวิตของชุมชนบนพื้นที่สูง การศึกษาดูงานในครั้งนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้รูปแบบการพัฒนาพื้นที่บนภูเขาสูงอย่างยั่งยืน ทั้งด้านการฟื้นฟูป่า การจัดการน้ำ การสร้างอาชีพและรายได้ให้กับชุมชน รวมถึงแนวคิดการพัฒนาแบบองค์รวมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประสบผลสำเร็จและเป็นต้นแบบของการพัฒนาในพื้นที่สูงของประเทศไทย







