'หอการค้าไทยในจีน' สับไทยเสียเวลา 10 ปี สินค้าล้าสมัย-ท่องเที่ยวไม่ปลอดภัย

"ดร.ไพจิต วิบูลย์ธนสาร" หอการค้าไทยในจีน เตือนไทยเสียเวลา 10 ปี พลาดโอกาสตลาดจีน ชี้สินค้าถูกมอง “ล้าสมัย” ท่องเที่ยวเสียภาพลักษณ์ “ไม่ปลอดภัย” เร่งรัฐ-เอกชนเปลี่ยนทัศนคติก่อนถูกทิ้งห่าง
KEY
POINTS
- ดร.ไพจิต วิบูลย์ธนสาร รองประธานหอการค้าไทยในจีน ชี้ว่าไทยสูญเสีย “โอกาสเชิงยุทธศาสตร์” มากว่า 10 ปี เพราะปรับตัวเข้าสู่ตลาดออนไลน์จีนที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ล่าช้า ทำให้สินค้าไทยถูกมองว่า “ล้าสมัย” และ “ไม่ทันเกม”
- สินค้าไทยขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และขาดภาพลักษณ์กับอัตลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทำให้ไม่สามารถเจาะตลาดชนชั้นกลางของจีนได้ แม้จะมีศักยภาพก็ตาม
- ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในสายตานักท่องเที่ยวจีนย่ำแย่จากปัญหาความปลอดภัยหลายกรณี ทั้งการฉ้อโกง การกักขัง และอาชญากรรมออนไลน์ ส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยวอาจต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
- ดร.ไพจิต สรุปว่า 10 ปีที่ผ่านมาเป็น “ช่วงเวลาที่สูญเปล่า” เพราะไทยไม่สามารถพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้แข็งแกร่งขึ้นได้เลย ทำให้เข้าถึงตลาดจีนซึ่งใหญ่กว่าไทย 35 เท่า ได้เพียง “เสี้ยวเดียว”
ดร.ไพจิต วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน และอดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงปักกิ่ง เปิดเผยถึงสถานการณ์ของผู้ประกอบการไทยในตลาดจีนว่า ขณะนี้ไทยกำลังสูญเสีย “โอกาสเชิงยุทธศาสตร์” ต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี โดยเฉพาะในยุคที่จีนเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเข้าสู่ช่องทางออนไลน์เต็มรูปแบบ แต่ไทยกลับปรับตัวยุ่งยากและล่าช้า ส่งผลให้สินค้าไทย “ไม่ทันเกม” และถูกมองว่า “ล้าสมัย” ในสายตาผู้บริโภคจีน
ดร.ไพจิต กล่าวว่า ไทยขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ขาดภาพลักษณ์และอัตลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแรง แม้สินค้าหมวดอาหารไทยจะมีศักยภาพด้านสุขภาพ แต่ยังขาดงานวิจัยรองรับเพื่อนำไปสื่อสารในจีนอย่างเป็นระบบ ทำให้ไม่สามารถเจาะตลาดชนชั้นกลางที่ขยายตัวรวดเร็ว
“10 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่สูญเปล่า เพราะเราไม่สามารถพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้แข็งแรงขึ้นได้เลย ตลาดจีนแม้ใหญ่กว่าไทยถึง 35 เท่า แต่ไทยกลับเข้าถึงได้เพียง “เสี้ยวเดียว” เนื่องจากขาดความพร้อมด้านสินค้า กลยุทธ์ และบุคลากร
ท่องเที่ยวไทยทรุด ถูกมอง ‘ไม่ปลอดภัย’
ด้านการท่องเที่ยวนั้น ภาพลักษณ์ไทยในหมู่นักท่องเที่ยวจีนย่ำแย่จากเหตุการณ์ความปลอดภัยหลายกรณี ทั้งการฉ้อโกง การกักขัง และอาชญากรรมออนไลน์ ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนปีนี้อาจทำได้เพียง 4 ล้านคน ต่ำกว่าเป้าหมายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้ 5 ล้านคน และห่างไกลจากระดับ 7-8 ล้านคนก่อนเกิดโควิด
ดร.ไพจิต เสนอให้รัฐใช้กลยุทธ์ "1 ข่าวลบ ต้องมี 3 ข่าวบวก” เพื่อรีเซ็ตความเชื่อมั่น พร้อมมองว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาพัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 13-17 พ.ย. 2568 ช่วยฟื้นบรรยากาศด้านบวกได้อย่างมากในสื่อจีน
แข่งขันดุเดือด-จีนพัฒนาเร็วและเป็นระบบ
ตลาดจีนปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SME และ Micro-enterprise มากกว่า 80 ล้านราย แข่งขันกันรุนแรง ขณะที่สินค้าจีนถูกมองว่า “ถูกและดี” ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ทั้งรถ EV เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ จีนมีทิศทางพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้กำหนดแผนระดับชาติ เช่น
1. แผน 5 ปี ฉบับที่ 15 เน้นขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ สัดส่วนเป้าหมาย 60% ของ GDP
2. เทคโนโลยี โดยตั้งเป้า AI ทาบชั้นสหรัฐฯ ภายในปี 2025
3. โครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าโครงการ CR450 รถไฟความเร็วสูงพัฒนาใหม่
4. พลังงานสีเขียว มุ่งสู่ Carbon Peak/Carbon Neutrality
ทั้งหมดทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติต้องเข้าใจ “ระบบคิดแบบจีน” หากต้องการอยู่รอดในตลาดนี้
อุปสรรคการลงทุนในไทย "ขาดคน-ระบบราชการอืด"
แม้ไทยเป็นฐานลงทุนสำคัญภายใต้นโยบาย Go Global และ Belt and Road แต่การลงทุนใหม่จะเกิดขึ้นได้ยาก หากไทยไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ดร.ไพจิตย้ำว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ “ขาดคนเก่ง” เพราะแรงงานไทยที่มีทักษะสอดคล้องกับเทคโนโลยีจีนมีจำนวนน้อยมาก
ดังนั้น ไทยควรอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญจีนเข้ามาทำงานชั่วคราว 6 เดือนเพื่อถ่ายทอดความรู้ ก่อนต้องเดินทางกลับตามเงื่อนไข พร้อมชี้ถึงปัญหาคอร์รัปชันและความล่าช้าของระบบราชการที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ
จุดเริ่มต้นคือ ‘ทัศนคติ’ ต้องเลิกมองตัวเองเป็นผู้แพ้
ทั้งนี้ หากไทยยังติดกับดักทัศนคติ “แข่งขันไม่ได้” จะไม่สามารถก้าวทันจีนได้เลย ไทยต้องปรับเปลี่ยนทั้งระบบ ได้แก่
1. เร่งปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ก่อนบุกตลาดจีน
2. รวมกลุ่มสร้างพลังต่อรอง เหมือนญี่ปุ่น-เกาหลี
3. เพิ่มความเร็วในการพัฒนา ให้ทันจีน และเลือกสนามที่ไทยได้เปรียบ เช่น อาหาร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และยานยนต์พลังงานทางเลือก
อย่างไรก็ตาม จีนยังเดินหน้าเติบโตอีกมาก โดยตั้งเป้าภายในปี 2035 จะก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วระยะต้น และจำนวนชนชั้นกลางจะพุ่งจาก 400 ล้านคนเป็น 800 ล้านคน ถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลที่ไทยต้องคว้าให้ได้
"การเข้าตลาดจีนต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพเชิงกลยุทธ์ ผู้ประกอบการไทยต้องวางงบประมาณด้านการตลาดออนไลน์-ออฟไลน์อย่างสมดุล มีข้อมูลและงานวิจัยรองรับ พร้อมเข้าใจระบบกฎหมายและธรรมาภิบาลของจีนอย่างลึกซึ้ง มิฉะนั้นความเสี่ยงจะสูงและมีโอกาสถูกเอาเปรียบได้ง่าย"






