นักวิชาการ เผย น้ำท่วมหาดใหญ่ เสียหายมากสุด 1.2 หมื่นล้านบาท

“อัทธ์ พิศาลวานิช” เผยน้ำท่วม 9 จังหวัดภาคใต้สร้างความเสียหายหนัก กระทบประชาชนเกือบ 3 ล้านคน ชี้จังหวัดสงขลาเสียหายสูงสุด 7.5 หมื่นล้านบาท เฉพาะหาดใหญ่ 1.2 หมื่นล้านบาท ระบุวิกฤตรอบนี้รุนแรงกว่าปี 2560รัฐบาลบริหารจัดการ “ล้มเหลว” ทุกมิติ ชี้รัฐจัดการล้มเหลว จี้รื้อระบบภัยพิบัติทั้งประเทศ
ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์"น้ำท่วมภาคใต้" น้ำท่วมหาดใหญ่ ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยภาคใต้มีทั้งหมด 14 จังหวัด มีขนาดเศรษฐกิจรายจังหวัด (Gross Provincial Product : GPP) อยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท (2566) คิดเป็น 8% ของ GDP ทั้งประเทศ มี 9 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสุราษฎร์ธานี จังหวัดเหล่านี้มีขนาดเศรษฐกิจรวมกัน 967,221 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของเศรษฐกิจภาคใต้ ประชาชนได้รับผลกระทบ 2.9 ล้านคน (เกือบ 3 ล้านคน) คิดเป็น 32% ของประชากรในภาคใต้ (9.5 ล้านคน) ครัวเรือนได้รับผลกระทบ 1 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 33% ของครัวเรือนในภาคใต้ (3 ล้านครัวเรือน) (ปี 2566 ครัวเรือนไทยมี 23 ล้านครัวเรือน) คนเสียชีวิต (ยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอนคาดว่า มากกว่า 100 คน)
จากการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้น เสียหาย 1.4 แสนล้านบาท พบว่า น้ำท่วมตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย 2568 ถึง 27 พ.ย. 2568 รวม 7 วัน ทั้ง 9 จังหวัดได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้น 1.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 15% ของ GPP ทั้ง 9 จังหวัด โดยจังหวัดสงขลาได้รับผลกระทบมากสุดถึง 7.5 หมื่นล้านบาท
"พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้มากสุด คือ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ใน 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 20-27 พ.ย. 2568 เป็นผลกระทบทั้งทางตรง (การหยุดกิจกรรมเศรษฐกิจ) และทางอ้อม (ความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยตรง บ้านเรือน, รถ, ร้านค้า, สต็อกสินค้า, ถนน, ไฟฟ้า, ประปา) แบ่งออกเป็น 2 ฉากทัศน์ คือ กรณีผลกระทบน้อย และกรณีผลกระทบมาก พบว่าผลกระทบอยู่ระหว่าง 5,750 ล้านบาท ถึง 12,100 ล้านบาท คิดเป็น 7.5% ถึง 16% ของ GPP หาดใหญ่ (75,000 ล้านบาท)"
ดร.อัทธ์ กล่าวว่า ผลกระทบน้ำท่วมครั้งนี้ มีความเสียหายทางเศรษฐกิจ ชีวิตและทรัพย์สิน มากกว่าน้ำท่วม ปี 2560 ความเสียหายเศรษฐกิจครั้งนี้อย่างน้อย 1.4 แสนล้านบาทใน 9 จังหวัด ไทยต้องถอดบทเรียนอีกกี่ครั้งจีงจะแก้ปัญหาภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ รัฐบาลปัจจุบันจัดการน้ำท่วม ล้มเหลว เพราะมาจาก
1.การแบ่งงาน “เบี้ยหัวแตก” มีทั้งนายธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธาน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธาน มีศูนย์ภัยพิบัติทั้งส่วนกลาง และท้องถิ่น รัฐมนตรีแต่ละท่านรับผิดชอบแต่ละจังหวัด การแบ่งงานที่ “ไร้แม่ทัพหลัก” จะไม่ไปในทิศทางเดียวกัน
2.ระบบเตือนภัยพิบัติ “ไม่แม่นยำ” และไม่เชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกัน เห็นได้จากช่วงแรก เทศบาลหาดใหญ่บอกว่า “เอาอยู่” ในขณะที่หน่วยงานส่วนกลางเตือนภัย ประเทศไทยได้ใช้งบประมาณในส่วนนี้มากในแต่ละปี แต่ยังไม่เป็นที่ไว้ใจหรือเชื่อถือได้เมื่อเกิดภัยพิบัติ
3.ความ “ล่าช้า” ในการช่วยเหลือและอพพยประชาชน เป็นแบบ “แต่คน ต่างทำ” ภาคเอกชน องค์กร หน่วยงานราชการ ไม่มีแผนปฎิบัติร่วมกัน
4.ทิศทางการสื่อสาร ท้องถิ่นกับส่วนกลาง “ไม่ไปในทางเดียวกัน” ประชาชนจะเชื่อใครดี ผลที่ออกมาเป็นอย่างที่เห็น
“ประเทศไทยผ่านภัยพิบัติมากครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ทุกภาคส่วนพูดเหมือนกันว่า “ต้องถอดบทเรียน” แต่ประเทศไทยสูญเสียทั้งทางเศรษฐกิจและชีวิตประชาชนทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ ถึงเวลาแล้วที่ต้อง “รื้อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศ” ”ดร.อัทธ์ กล่าว







