อุตฯเหล็กร้องการนำเข้าเบียดผลิตในบ้าน กำลังผลิตต่ำแค่30%สวนของนอกสูง70%

อุตสาหกรรมเหล็ก 10 สมาคม ตบเท้าหารือ“ธนกร” ร้องเหล็กนำเข้าทุบกำลังผลิตเหลือแค่ 30% ผวาธุรกิจอยู่บนเส้นทางรอวันเลิกกิจการ เปิดตัวเลขนำเข้า ต.ค. 68 เพิ่มขึ้น 17.5% ด้านนักวิเคราะห์ชี้ ผู้ผลิตรายใหญ่หนีภาษีทรัมป์ซบไทย
ประเทศไทยนำเข้า เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ เมื่อปี 2567 มูลค่า 12,233 ล้านดอลลาร์ ลดลง 7.1% เทียบกับปีก่อนหน้า (yoy) ก.ย. 2568 มูลค่า 1,073 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11.8% ต.ค. มูลค่า 1,110 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.5% และ ม.ค. -ต.ค. 2568 มูลค่า 11,041 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.2%
กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ซึ่งเป็นกลุ่มสมาคมที่ประกอบด้วยกลุ่มผู้ผลิตเหล็กทรงแบน เหล็กทรงยาว ผู้ใช้/แปรรูป และสนับสนุนการผลิตเหล็กของประเทศไทย ปัจจุบันมีสมาชิกรวมกว่า 510 บริษัท จ้างงานทางตรงรวม 51,000 อัตรา เข้าพบเพื่อหารือกับนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก 8 ข้อ เพื่อขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยผลักดัน
เปิดตัวเลขกำลังผลิตต่ำลงกว่าครึ่ง
นายนาวา จันทนสุรคน ผู้ประสานงานกลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กมีอัตราการใช้กําลังการผลิตค่อนข้างต่ำ เหลือ30% แต่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กในระดับสูงกว่า 70% และต้องเผชิญกับมาตรการทุ่มตลาดรวมทั้งการย้ายฐานผลิตจากต่างประเทศ
“การหารือครั้งนี้ จึงมาเสนอแนวทางแก้วิกฤติ ต่อกระทรวงอุตสาหกรรมให้ช่วยผลักดัน เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศแข่งขันได้ ไม่ต้องเลิกกิจการ ”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาภาครัฐได้ช่วยออก 2 มาตรการที่สำคัญ คือ 1.ห้ามตั้ง/ขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็ก
สําหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและการต่ออายุมาตรการ และ 2. สนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ หรือ Made in Thailand ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งหลายประเทศต่างก็ออกมาตรการช่วยปกป้องอุตสาหกรรมภายใน เพราะอุตสาหกรรมเหล็กที่มั่นคงเท่ากับเศรษฐกิจที่มั่นคง
แนวทางแก้วิกฤติ7ด้านป้องอุตฯในบ้าน
ส่วนแนวทางแก้วิกฤติ ประกอบด้วย 1. นโยบายส่งเสริมการใช้เหล็กในโครงการร่วมลงทุนภาครัฐเอกชน (PPP) 2. มาตรการห้ามตั้ง/ขยาย โรงงานเหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กลวด ท่อเหล็กและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน 3. ส่งเสริมให้โครงการภาครัฐเลือกใช้สินค้าเหล็กในประเทศที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไป 4.ควบคุมสินค้าเหล็กโครงสร้างสําเร็จรูป (พิกัด7308) ที่นำเข้า กำหนดเป็นมาตรฐานบังคับ เพราะที่ผ่านมาหลายโครงการลงทุนมีการนําเข้าวัสดุเหล็กโครงสร้างสําเร็จรูป/โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ทำให้มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหายไปกว่า 16,700 ล้านบาทต่อปี
5. มาตรการสงวนเศษเหล็กใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ 6. นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดการซากรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี 7. การสนับสนุนการบังคับใช้มาตรการทางการค้า เพื่อป้องกันปัญหาการนำเข้าสินค้า ซึ่งสมาคมฯ ได้ยกตัวอย่างมาตรการของหลายประเทศ และ แนวทางการเปิดดำเนินการของโรงงานผลิตเหล็กเส้น โดยตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่า ต้องมีระบบเตาปรุง (Ladle Furnace – LF) ตามข้อกําหนดในมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.)
นายธนกร กล่าวว่า ยินดีขับเคลื่อนข้อเสนอต่างๆ และพบว่ามีหลายประเด็นมีความน่าสนใจ เช่น การส่งเสริมให้ใช้เหล็กในโครงการ PPP ที่มีรวม 139 โครงการ มูลค่ารวม 9.2 แสนล้านบาท หรือการสนับสนุนให้เปลี่ยนรถยนต์เก่าอายุเกิน 20 ปี กว่า 5 ล้านคัน นำมารีไซเคิลเหล็ก
“ธนกร”ขอแยกประเด็นพร้อมเจ้าภาพให้ชัด
“อะไรที่ทำได้เลยจะพยายามทำทันที ส่วนอะไรที่ต้องใช้เวลา เช่น การแก้กฎหมายอาจจะต้องรอก่อน เพราะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ขอฝากให้สมาคมฯ จำแนกแต่ละประเด็นว่ามีหน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพ หน่วยงานใดเกี่ยวข้อง เพื่อร่วมสนับสนุน โดยอาจจะมีรองนายกฯ นั่งหัวโต๊ะ เพื่อผลักดันออกเป็นมาตรการต่อไป”
สำหรับ 10 สมาคมผู้ประกอบการเหล็กที่มาเข้าพบในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. สมาคมการค้าผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี 2. สมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น 3. สมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน 4. สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า 5. สมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย 6. สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย 7. สมาคมโลหะไทย สมาคมพัฒนาสแตนเลสไทย 9. สมาคมชุบสังกะสีไทย และ 10. สมาคมหลังคาเหล็กไทย
ข้อมูลบางส่วนจากรายงานแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็ก (ฉบับ update) โดย วรรณโกมล สุภาชาติ นักวิเคราะห์ SCB EIC ระบุว่า
ปี 2568 ปริมาณการใช้งานเหล็กของไทยมีแนวโน้มอยู่ที่ 16.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.7% ขณะที่ราคาเหล็กโดยเฉลี่ยยังคงมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน 4.8%
นักวิเคราะห์ห่วงผู้ผลิตหนีสหรัฐซบไทย
สำหรับปริมาณการใช้งานเหล็กทรงยาว และเหล็กทรงแบนในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีก่อน มาอยู่ที่ประมาณ 6.1 ล้านตัน เป็นผลจากปัจจัยหนุนด้านโครงการก่อสร้างภาครัฐที่ขยายตัว แม้จะมีปัจจัยกดดันจากโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ และยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศที่คาดว่ายังหดตัว
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหล็กไทยยังคงเผชิญความท้าทายทั้งการทะลักเข้ามาของเหล็กจีน และนโยบาย ทรัมป์2.0 ที่มีการเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 25% โดยSCB EIC ประเมินว่าสินค้าเหล็กจากจีนจะยังคงถูกระบายเข้ามายังไทยต่อเนื่องในปี 2568 โดยเฉพาะการเข้ามาของสินค้าเหล็กปลายน้ำ เช่น เหล็กเคลือบหรือชุบสังกะสี (Galvanized steel) เหล็กทาสี ที่มีสัดส่วนการนำเข้ามาใช้งานมากขึ้น ส่งผลต่อความต้องการใช้งานเหล็กกลางน้ำที่ผลิตในประเทศเพื่อนำไปผลิตต่อเป็นสินค้าเหล็กปลายน้ำลดลง รวมไปถึงผู้ผลิตสินค้าเหล็กปลายน้ำของไทยที่ต้องแข่งขันกับสินค้าเหล็กปลายน้ำนำเข้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเหล็กไทยยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากการทะลักเข้ามาของเหล็กนำเข้าจากประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากจีน โดยเฉพาะประเทศในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เคยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กไปยังสหรัฐเมื่อปี 2561 โดยประเทศเหล่านั้นจะเริ่มถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ส่งผลให้อาจมีการระบายสินค้ามายังไทยแทน ซ้ำเติมผู้ผลิตเหล็กของไทยให้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม







