'วาระแห่งชาติ' จัดการภัยพิบัติความคุ้มค่าที่จำเป็นต้อง 'ลงทุน'

'วาระแห่งชาติ' จัดการภัยพิบัติความคุ้มค่าที่จำเป็นต้อง 'ลงทุน'

อุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคใต้ขณะนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่าง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สะท้อนถึง“การบริหารจัดการ”ปรากฏการณ์ “ฝนรอบ 300 ปี” ที่อยู่นอกเหนือกรอบการรับมือแบบเดิมๆ 

ที่รัฐบาล ผู้บริหารและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องทบทวนรูปแบบการบริหารจัดการภัยพิบัติใหม่ทั้งระบบครั้งใหญ่ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกินกว่าจะประเมินค่าได้ และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้มองเห็นถึงขีดจำกัดของโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพการบริหารจัดการภาวะวิกฤติของประเทศ
    

แม้ว่าทุกภาคส่วนจะรวมพลังให้ความช่วยเหลือพี่น้องที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็น ภาคประชาสังคมและเอกชน “เนชั่นปันน้ำใจ” กลุ่มเนชั่นกรุ๊ป ที่ระดมกำลังตั้งศูนย์ช่วยเหลือและโรงครัวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ขณะที่ ภาครัฐ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดสงขลา เพื่อรวบอำนาจการสั่งการให้เกิดเอกภาพและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ในส่วนของ ภาคการเงิน สถาบันการเงินของรัฐถึง 7 แห่ง ก็ได้ออกมาตรการเยียวยาลูกหนี้อย่างเร่งด่วน ทั้งการพักชำระหนี้และลดดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาภาวะเศรษฐกิจของผู้ได้รับผลกระทบ

สถาบันวิชาการอย่าง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้นำระบบ AI และ Machine Learning มาวิเคราะห์ข้อมูล แจ้งเตือนภัย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ ภาคประชาชน มีแพลตฟอร์ม “Kaitod Hatyai

ที่เปิดให้ผู้ประสบภัยปักหมุดขอความช่วยเหลือแบบ Real-time ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการสื่อสารได้ มีการใช้โดรนส่องสว่างสำหรับภารกิจกลางคืน โดรนตรวจจับความร้อนเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต และโดรนลำเลียงสิ่งของไปยังพื้นที่เข้าถึงยาก

อุทกภัยครั้งนี้นอกจากเป็น “สัญญาณเตือน” ภัยธรรมชาติครั้งสำคัญแล้ว ยังเป็นบทเรียนราคาแพงที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงยกระดับการจัดการภัยพิบัติให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลต้อง“ลงทุน”สร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างจริงจังให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เป็นการป้องกันเตรียมพร้อมรับมือ  เพื่อวางรากฐานสำคัญของทางรอดให้กับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในระยะยาว เพื่อป้องกัน “สัญญาณเตือน” ครั้งต่อไปที่จะมาพร้อมกับความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้
    

ที่สำคัญการบริหารจัดการพื้นที่ภัยพิบัติจำเป็นต้องมี “ระบบป้องกัน” ที่แข็งแรงและมั่นคง เพื่อรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ในทุกพื้นที่จำเป็นต้องมีระบบฐานข้อมูลกลาง เพื่อบูรณาการข้อมูลผู้ประสบภัยให้เป็นหนึ่งเดียว, การวางแผน การอพยพและจัดเตรียมศูนย์พักพิง ที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอ, การพัฒนาระบบ ส่งกำลังบำรุง ทั้งอาหารและน้ำให้เข้าถึงทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง และ การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อระดมทรัพยากรที่อาจขาดแคลน เพื่อวางวางแผนรับมือการจัดการภัยพิบัติทุกรูปแบบ  เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน