ครม.รับมือ ‘CBAM’ บังคับใช้เข้มปี 69 ห่วงกระทบผู้ส่งออกสินค้าไป 'อียู’

ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางรับมือมาตรการปรับราคาคาร์บอน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2569 เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย
KEY
POINTS
- ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางรับมือมาตรการปรับราคาคาร์บอน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2569 เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย
- มาตรการ CBAM จะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออก 6 ประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง ได้แก่ ซีเมนต์, ไฟฟ้า, ปุ๋ย, เหล็ก, อะลูมิเนียม และไฮโดรเจน ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน
- ข้อเสนอแนะหลักในการรับมือคือการเร่งรัดจัดทำกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจัดเก็บภาษีคาร์บอนภาคบังคับในประเทศให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของสหภาพยุโรป
- รัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับตัวโดยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทางเลือก เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ท่ามกลางการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็ว “คาร์บอน” ได้กลายเป็นปัจจัยต้นทุนใหม่ที่กระทบการแข่งขันของผู้ส่งออกทั่วโลก โดยเฉพาะหลังสหภาพยุโรปเริ่มใช้มาตรการCBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism)กลไกเก็บ “ราคาคาร์บอน” จากสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ทำให้ต้นทุนการส่งออกไปยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากประเทศผู้ส่งออกไม่มีมาตรการด้านคาร์บอนเทียบเท่า
สำหรับไทยนี่คือสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ เพราะอุตสาหกรรมสำคัญหลายประเภท ตั้งแต่เหล็ก อลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย จนถึงไฟฟ้า ล้วนมีสัดส่วนส่งออกไปยุโรป และเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อ CBAM จะบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2569
วานนี้ (25 พ.ย.) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะในการรับมือกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป และข้อเสนอให้ยกระดับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว
โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายไปดำเนินการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ
คาดกระทบสินค้า 6 ประเภท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ สืบเนื่องจากสหภาพยุโรปได้เริ่มนำกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) เพื่อจัดเก็บ “ราคา”คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon-pricing) กับสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่สูง มาใช้กับสินค้า 6 ประเภทที่นำเข้าไปในสหภาพยุโรป ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อลูมิเนียม และไฮโดรเจน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 และจะมีการบังคับใช้กลไกดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2569
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าโดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่สูง และอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดของสหภาพยุโรปได้โดยคณะกรรมการพัฒนากฎหมายได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการเพื่อรับมือกับกลไก CBAM ของสหภาพยุโรป และยกระดับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว
แนะกลไกเก็บภาษีคาร์บอนในประเทศ
โดยเห็นว่าควรเร่งดำเนินการจัดให้มีภาษีคาร์บอนภาคบังคับ โดยกำหนดกลไกจัดเก็บภาษีคาร์บอนดังกล่าวให้สอดคล้องตามเงื่อนไขที่สหภาพยุโรปกำหนดเร่งจัดทำกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้ศึกษากลไกต่าง ๆ อย่างรอบคอบบนพื้นฐานของข้อมูลและประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ และผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการพร้อมกับข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ด้วยแล้ว จัดหาข้อมูลที่จำเป็นและดำเนินการด้านอื่น ๆ เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกลไก CBAMM ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
ดันกลไกตรวจสอบคาร์บอนในประเทศ
สนับสนุนองค์กรภาคเอกชนในประเทศไทยที่ทำหน้าที่เป็นผู้ทวนสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้รับการรับรองให้ทำหน้าที่เป็นผู้ทวนสอบตามกลไก CBAM ของสหภาพยุโรปยกระดับการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาพรวมให้สอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนของสถานการณ์
กำหนดมาตรการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าและเลือกใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเร่งหาแหล่งพลังงานสะอาดเพื่อมาใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิลโดยเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวอาจจะทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากมีต้นทุนจากการจ่าย “ราคา” คาร์บอนภาคบังคับที่เพิ่มขึ้น แต่มาตรการดังกล่าวจะสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
หนุนพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว
ซึ่งไม่เพียงแต่จะลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในระยะยาว แต่ยังจะมีส่วนส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงหรืออุตสาหกรรมสีเขียวให้เติบโต อันจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ และจะช่วยลดความรุนแรงของปัญหาสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนลดต้นทุนต่อเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปขายยังสหภาพยุโรปให้สามารถปฏิบัติตามกลไก CBAM ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
“การเตรียมความพร้อมเรื่องมาตรการ CBAM ในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” แต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย ช่วยให้ผู้ประกอบการลดความเสี่ยงด้านต้นทุน รักษาตลาดยุโรป และยกระดับสู่การผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกยุคใหม่”โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าว







