บทเรียน ‘หาดใหญ่‘ บูรณาการน้ำ 'จุดอ่อน' ต่างคนต่างทำงาน

“นักวิชาการ” ประเมินไทยไม่พร้อมรับมือวิกฤติน้ำท่วม “ทีดีอาร์ไอ” ชี้การบูรณาการไม่เกิดขึ้นจริง บทเรียนหาดใหญ่ต่างคนต่างทำงาน “เสรี” ระบุรัฐประเมินสถานการณ์พลาด
KEY
POINTS
- อุทกภัยหาดใหญ่สะท้อนจุดอ่อนการบริหารจัดการน้ำของไทย ที่มีหน่วยงานเกี่ยวข้องจำนวน 37 หน่วยงาน แต่ขาดการบูรณาการและทำงานแบบต่างคนต่างทำ
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าไทยไม่มีหน่วยงานถาวรที่เป็นมืออาชีพรับมือปัญหาน้ำท่วมโดยตรง ทำให้การแก้ไขปัญหาขาดประสิทธิภาพเมื่อเกิดวิกฤต
- การประเมินสถานการณ์และการตัดสินใจในระดับพื้นที่ที่ล่าช้า ไม่ประสานขอความช่วยเหลือจากส่วนกลางแต่เนิ่นๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความเสียหายรุนแรงขึ้น
อุทกภัยในภาคใต้ตอนล่าง 10 จังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่มีปริมาณฝนตกลงมาต่อเนื่องหลายวันทำให้รัฐบาลต้องยกระดับการแก้ปัญหาจากระดับการบรรเทาสาธารณะภัยตามปกติไปสู่ระดับการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นจุดอ่อนของการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 37 หน่วยงาน ใน 10 กระทรวง ซึ่งมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ทำหน้าที่จัดทำแผนแม่บทและกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำและขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องครอบคลุมภารกิจ 4 กลุ่ม คือ น้ำฝน, น้ำท่าและน้ำในอ่างเก็บน้ำ, คุณภาพน้ำ, การป้องกันและการช่วยเหลือฟื้นฟู โดย 10 กระทรวงประกอบด้วย
1.สำนักนายกรัฐมนตรี 3 หน่วยงาน
2.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 9 หน่วยงาน
3.กระทรวงมหาดไทย 7 หน่วยงาน
4.กระทรวงพลังงาน 2 หน่วยงาน
5.กระทรวงคมนาคม 1 หน่วยงาน
6.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 4 หน่วยงาน
7.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 1 หน่วยงาน
8.กระทรวงกลาโหม 4 หน่วยงาน
9.กระทรวงอุตสาหกรรม 2 หน่วยงาน
10.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม 3 หน่วยงาน
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ประเทศไทยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำจำนวนมาก แต่ไม่มีหน่วยงานที่รับมือกับน้ำท่วมโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 กำหนดให้มีการตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ ตามมาตรา 24 ในกรณีเกิดปัญหาวิกฤติน้ำที่กระทบประชาชน ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นเป็นผู้บัญชาการอำนวยการแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำเป็นการชั่วคราวจนกว่าปัญหาวิกฤติน้ำจะผ่านไป
ขณะที่ต่างประเทศจะมีหน่วยงานถาวรสำหรับรับมือสถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้นประจำ ซึ่งจะทำให้มีข้าราชการประจำหรือมืออาชีพที่ทำหน้าที่เตรียมแผนรับมือสถานการณ์น้ำตั้งแต่การพยากรณ์น้ำไปจนถึงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
ส่วนกรณีของไทยเมื่อตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจขึ้นมาจะมีนักการเมืองเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่ไม่เข้าใจการรับมือสถานการณ์น้ำ ดังนั้นควรมีหน่วยงานรับมือวิกฤติน้ำเป็นหน่วยงานถาวร
สำหรับกรณีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มีหน้าที่ในช่วงที่ภัยพิบัติกระทบต่อชีวิตประชาชน แต่การรับมือภัยพิบัติน้ำท่วมมีการทำงานตั้งแต่การประเมินสถานการณ์ก่อนน้ำท่วมจนถึงการดูแลเยียวยาผลกระทบ
“การบูรณาการรับมือน้ำท่วมไม่เคยเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย เพราะจะเป็นลักษณะแต่ละหน่วยงานตางคนต่างทำ แต่ในต่างประเทศจะมีมืออาชีพดูแลเรื่องนี้ ไม่ใช่นักการเมืองมาคุมสถานการณ์”
ชี้รัฐประเมินน้ำท่วมหาดใหญ่พลาด
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยว่า กรณีน้ำท่วมภาคใต้ถือว่ามาเร็วและแรง อีกทั้งยังมาในช่วงกลางคืน ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดได้แต่ไม่ควรจะเสียหายมากขนาดนี้
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากผู้บัญชาการในพื้นที่ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ขาดการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและฉับพลัน ซึ่งควรจะมีคำสั่งขอความช่วยเหลือจากส่วนกลางตั้งแต่รับทราบข้อมูลว่าจะมีฝนหนัก รวมทั้งในพื้นที่เครื่องมือที่มีอยู่ไม่สามารถจัดการได้ ทั้งการอพยพประชาชน การสำรองอาหาร และการตั้งวอร์รูมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อบริหารสถานการณ์
นอกจากนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์กว่าพื้นที่จะขอความช่วยเหลือก็เหตุการณ์รุนแรงแล้ว โดยส่วนกลางเข้าไปทำงานต่อได้ยาก หรือทำเท่าที่ทำได้เมื่อต้องเผชิญเหตุ
“ผู้นำระดับพื้นที่จะรู้สถานการณ์ดีที่สุด ต้องประเมินให้ได้ว่าจะรับมืออย่างไร หากไม่ไหวต้องรายงานส่วนกลางเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่รอจนถึงที่สุดจนถึงที่สุดแล้วมาขอกำลังตอนท่วมที่วิกฤติแล้ว โดยในหาดใหญ่น้ำเคยท่วมสูงสุด 1 เมตร แต่เมื่อคืนวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ระดับน้ำขึ้นไปจนถึง 2 เมตร ทำให้คนกลัวและไม่รู้จะรับมืออย่างไร อันนี้เป็นเรื่องใหญ่”
รวมทั้งวันที่ 25 พ.ย.2568 ถือว่าผ่านจุดสูงสุดแล้วเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบปี 2553 ดังนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วัน ระดับน้ำจึงจะเข้าสู่ภาวะปกติ
นายกฯ ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอให้ประกาศ ใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพื้นที่จังหวัดสงขลาเพื่อระดมกำลังแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งนายอนุทิน ลงนามใน พ.ร.ก.พื้นที่จังหวัดสงขลา โดยให้ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์
สำหรับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา ระบุถึงสถานการณ์ภัยพิบัติสาธาธารณะที่เป็นผลมาจากฝนตกหนัก จนเกิดมหาอุทกภัยในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา ซึ่งมีความร้ายแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนส่งผลกระทบการดำรงชีวิตโดยปกติสุขและก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต รวมทั้งสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินประชาชนและราชการเป็นวงกว้าง
ดังนั้นจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยของประชาชน ความสงบเรียบร้อยและแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งเพื่อป้องกันหรือแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะอันมีมาอย่างฉุกเฉินร้ายแรง และไม่อาจแก้ไขปัญหาด้วยการบริหารราชการในรูปแบบปกติได้จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.2568 ถึงวันที่ 25 ก.พ.2569







