ความจริงของ “ปลาซัคเกอร์” เส้นทางจากปลาตู้ สู่ภัยเงียบของระบบนิเวศ

ความจริงของ “ปลาซัคเกอร์” เส้นทางจากปลาตู้ สู่ภัยเงียบของระบบนิเวศ

ปลาซัคเกอร์ หรือ Suckermouth Fish เป็นปลาที่นิยมอยู่ในกลุ่มปลาตู้ หน้าตาให้ความรู้สึกถึงดึกดำบรรพ์ จุดเด่นที่สำคัญ คือชอบอยู่ใต้น้ำนิ่งๆ แทบไม่ขยับ ไม่รบกวนปลาตัวอื่นในตู้ กินอาหารตามพื้นตู้ ทำหน้าที่ดูดทำความสะอาดตู้ปลา คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อว่า ปลาเทศบาล บางทีเรียกว่า ปลาภารโรง (Janitor fish) หรือ ปลาดูด ในวงการปลาสวยงาม

 ในช่วงเมื่อ 40 ปีก่อนปลาชนิดนี้ เป็นไอเท็ม “ของมันต้องมี” สำหรับวงการคนเลี้ยงปลาตู้ เรามักพบเห็นได้ทุกตู้ปลา ทุก 1 ตู้ต้องพบปลาซัคเกอร์อย่างน้อย 1 ตัว เหตุใดปลาชนิดนี้จึงหมดยุครุ่งเรือง และถูกกล่าวหาว่าเป็นปลาต่างถิ่นอีกหนึ่งชนิดที่กำลังคุกคามระบบนิเวศของแหล่งน้ำธรรมชาติไทยอย่างเงียบๆ

ปลาซัคเกอร์มาจากไหน ปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิด ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แถบลุ่มน้ำอะเมซอน พบปลาชนิดนี้อยู่มาก จากข้อมูลหลายแหล่งรายงานว่าปลาชนิดนี้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยจากบราซิลประมาณปี 2520 ในกลุ่มปลาสวยงามเป็นปลาในวงศ์ Pterygoplichthys (Siluriformes: Loricariidae) มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ละพันธุ์มีสีสัน รูปลักษณ์แปลกตา

ความจริงของ “ปลาซัคเกอร์” เส้นทางจากปลาตู้ สู่ภัยเงียบของระบบนิเวศ

เหตุผลที่ทำให้ปลาซัคเกอร์ออกจากตู้ปลาไปอยู่แหล่งน้ำธรรมชาติ คือ แรกเริ่มที่นำเข้ามาเลี้ยงในปลาตู้มักมีขนาดเล็ก รักสงบ นอนนิ่งๆ อยู่ที่พื้นตู้ปลา แต่พอเลี้ยงไปไม่นาน ผู้เลี้ยงพบว่าปลาชนิดนี้โตเร็วกว่าที่เคยคิด ตัวใหญ่โตได้ถึง 2 ฟุต เริ่มใหญ่กว่าตู้ปลา แถมยังเป็นปลากินจุ กินเยอะ กินทุกอย่าง และที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่า ปลาซัคเกอร์มีนิสัยก้าวร้าว แม้จะนอนนิ่ง จะขยับตัวเมื่อจะกินอาหาร แต่ข้อเสียของมันเมื่อกินไม่อิ่ม หรืออาหารไม่พอ มันจะผุดนิสัยก้าวร้าวรุกราน ไล่ดูดกินเหงือกปลาชนิดอื่นในตู้แทน จึงกลายเป็นปลาที่ไม่พึงประสงค์ของผู้เลี้ยงอีกต่อไป ซัคเกอร์ตัวใหญ่จึงถูกนำไปทิ้งขว้างในคลองข้างบ้านแทน และผู้เลี้ยงปลาตู้ก็ไปซื้อปลาซัคเกอร์ตัวเล็กๆ มาเลี้ยงแทน เมื่อปลาขนาดใหญ่ขึ้นก็นำไปทิ้งหมุนเวียนเป็นวัฏจักรแบบนี้

 

อีกความจริงที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในช่วงเวลาหนึ่ง ปลาชนิดนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มสายมู ใช้ปลาซัคเกอร์ หรือ เรียกกันว่า “ปลาดำราหู” ใช้ปล่อยสะเดาะเคราะห์ ก็เป็นอีกที่มา ที่ช่วยให้เกิดแพร่พันธุ์ปลาตัวนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติของบ้านเราแบบเร่งด่วน

จนถึงวันนี้นับเป็นเวลามากกว่า 40 ปีได้ ปลาที่ถูกปล่อยทิ้งในแหล่งน้ำได้ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว เพราะด้วยจุดแข็งของปลาเทศบาล คือ ความถึกทน อยู่ได้ทุกสภาพน้ำ แม้ในน้ำที่มีออกซิเจนน้อยจนปลาพื้นถิ่นก็ยังทนอยู่ไม่ได้ อย่างคลองน้ำเสีย ปลาเทศบาลก็ปรับตัวอยู่ได้ เป็นปลาที่กินอาหารได้ทุกประเภท กินดะ ทั้งเนื้อ ทั้งพืช ดูดกินทั้งตะไคร่น้ำ เนื้อ ไส้เดือน ไข่ปลา รวมถึงลูกปลา

ความจริงของ “ปลาซัคเกอร์” เส้นทางจากปลาตู้ สู่ภัยเงียบของระบบนิเวศ

อีกความจริงที่ทำให้ปลานี้ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ปลาเทศบาลจะวางไข่ในโพรงดิน และมีตัวผู้คอยเฝ้าไข่ที่วางไว้ในโพรงอย่างอดทน จึงทำให้ไม่มีศัตรูมากินไข่ และแหล่งน้ำบ้านเราไม่มีปลาล่าตามธรรมชาติ แตกต่างจากแหล่งน้ำในถิ่นกำเนิดของปลาที่มีปลาผู้ล่าจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ปลาซัคเกอร์จึงขยายพันธุ์จำนวนประชากรได้อย่างรวดเร็ว

จนปัจจุบัน การปล่อยทิ้งโดยปราศจากการควบคุม หรือการจัดการอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ปลาซัคเกอร์พบอยู่เป็นจำนวนมากเต็มไปหมด ได้ครอบครองอาณาจักรแหล่งน้ำในธรรมชาติหลายแห่ง ส่งผลกระทบให้ระบบนิเวศเสียหาย จากนิสัยกินเก่งจึงแย่งกินอาหารและที่อยู่อาศัยของปลาพื้นถิ่น และด้วยนิสัยขุดโพรงเพื่อวางไข่ ก็มีส่วนทำพื้นแหล่งน้ำธรรมชาติเสียหาย และความจริงอีกประการ คือ นอกจากมีนิสัยก้าวร้าวแล้ว ตัวปลาซัคเกอร์มีเกร็ดเป็นเกราะที่แข็งแรง หลายประเทศที่ถูกปลาชนิดนี้รุกรานสร้างปัญหาเหมือนประเทศไทยเรา เรียกชื่อมันว่า ปลาหุ้มเกราะ ((Suckermouth armed catfish) และการชอบอยู่ติดพื้นน้ำ ทำให้กำจัดยาก ปลาซัคเกอร์จึงเป็นปลาตู้ที่กำลังคุกคามระบบนิเวศของไทยมาอย่างเงียบๆ เป็นทศวรรษ

ดร.สหภพ ดอกแก้ว รองหัวหน้าภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ออกมายืนยัน ปลาซัคเกอร์เป็นปลาต่างถิ่นสายพันธุ์รุกรานอีกชนิดหนึ่งที่มาจากวงการปลาสวยงาม เมื่อกว่า 40 ปีก่อน วันนี้เจอว่าได้กระจายพันธุ์ไปมาก สามารถพบเห็นปลาชนิดนี้ในแหล่งต้นน้ำอีกด้วย แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพยายามที่จะกำจัดแต่ยังกำจัดได้ยาก เพราะปลาชอบอยู่ตามพื้นดินใต้ท้องน้ำ มองเห็นยาก แถมเนื้อของปลาชนิดนี้ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะเนื้อมีน้อย ลำตัวเป็นเกราะแข็ง ไม่เหมาะนำไปทำอาหารสัตว์เพราะมีค่าโปรตีนน้อย

นอกจากประเทศไทยแล้ว ปลาซัคเกอร์ยังคุกคามระบบนิเวศในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ อินเดีย ในรัฐอันธรประเทศ บังคลาเทศ และอีกหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ ที่เริ่มต้นจาก “ปลาตู้น่ารัก ๆ” และถูกนำปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ กลับกลายเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมดุลระบบนิเวศได้อย่างคาดไม่ถึง จึงเป็นอีกกรณีศึกษาที่บ่งชี้ว่า การนำเข้าปลาต่างถิ่นในวงการปลาสวยงาม ควรต้องมีการสร้างความตระหนักรู้ และระบบกำกับดูแล ตรวจสอบ และบริหารจัดการอย่างรับผิดชอบตั้งแต่ต้นทางจนถึงผู้เลี้ยงปลายทาง