บทบาทของ'ข้อมูลเครดิต'กับผลที่มีต่อภาค'เศรษฐกิจของประเทศไทย'

บทบาทของ'ข้อมูลเครดิต'กับผลที่มีต่อภาค'เศรษฐกิจของประเทศไทย'

เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ข้อมูลเครดิต’ หลายคนอาจไม่คุ้นเคย เพราะมักจะได้ยินคำเรียกที่คุ้นหูกว่าว่า ‘เครดิตบูโร’ หากเราจะตรวจดูข้อมูลเครดิตของตนเอง

เรามักจะพูดว่าเราจะตรวจเครดิตบูโร ปุ่มกดตรวจข้อมูลเครดิตในแอปต่างๆ ก็เขียนว่าตรวจเครดิตบูโร อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ คนส่วนใหญ่จึงไม่ได้มองข้อมูลเครดิต ในความเป็น data เท่าไรนัก ผู้เขียนขอชวนมองข้อมูลเครดิตใน 2 แง่มุม คือในฐานะที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และในฐานะที่เป็นฐานข้อมูลสถิติทางเศรษฐกิจ

ระบบข้อมูลเครดิตเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน แทบทุกประเทศทั่วโลกล้วนมีระบบข้อมูลเครดิตทั้งสิ้น ความสำคัญของระบบข้อมูลเครดิตในแง่มุมนี้ สะท้อนให้เห็นได้จากการจัดลำดับ Ease of Doing Business ของธนาคารโลกในอดีต ซึ่งมีหัวข้อในการประเมินที่เกี่ยวกับระบบข้อมูลเครดิตของประเทศด้วย ปัจจุบันธนาคารโลกได้พัฒนาแนวทางประเมินขึ้นมาใหม่เรียกว่า Business Ready หรือ B-READY เพื่อใช้วัดความยากง่ายและความพร้อมของการประกอบธุรกิจ อันเป็นปัจจัยชี้วัดที่สำคัญถึงขีดความสามารถทางการแข่งขันของแต่ละประเทศ ที่ผ่านมาประเทศไทยเองก็ให้ความสำคัญกับลำดับของ Ease of Doing Business เป็นอย่างมาก และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับ B-READY ซึ่งไทยเราจะได้รับการประเมินเป็นครั้งแรกในปี 2569 นี้

การประเมิน B-READY แบ่งออกเป็นทั้งหมด 10 หมวดหมู่ เช่น การจัดตั้งกิจการ บริการสาธารณูปโภค ภาษีอากร แรงงาน บริการทางการเงิน การแข่งขันทางการค้า การค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น โดยในแต่ละหมวดหมู่ จะมีการประเมิน 3 ด้านคือ กฎหมายกฎระเบียบ การให้บริการ และประสิทธิภาพ ภายใต้หมวดหมู่บริการทางการเงิน มีหัวข้อใหญ่ว่าด้วยการโครงสร้างพื้นฐานด้านสินเชื่อ ซึ่งจะมีการประเมินระบบข้อมูลเครดิตของประเทศ ว่าเก็บข้อมูลครอบคลุมเพียงใด เก็บข้อมูลและประมวลผลข้อมูลประเภทใดบ้าง                  นอกจากประวัติการชำระสินเชื่อ และมีบริการเสริมใดให้กับสมาชิกและประชาชนบ้าง ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ 3 ที่จะเข้าร่วมการประเมินในปีหน้า สำหรับกลุ่มที่มีการประเมินไปแล้วนั้น ประเทศที่ได้คะแนนสูงด้านระบบข้อมูลเครดิต เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เปรู โรมาเนีย เป็นต้น น่าสนใจที่ประเทศที่คะแนนสูงสุดเป็นลำดับต้นๆ ประกอบไปด้วยประเทศในอาเซียนหลายประเทศ โดยมีอินโดนีเซียเกาะกลุ่มมาเช่นกัน ในโอกาสต่อๆ ไป อาจจะได้ลองวิเคราะห์ดูถึงระบบข้อมูลเครดิตของประเทศที่ได้คะแนนสูงเหล่านี้บ้าง

บทบาทของข้อมูลเครดิตในฐานะที่เป็นฐานข้อมูลที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย อาจไม่เป็นที่รับทราบกันกันโดยทั่วไปนัก แต่เชื่อว่าทุกท่านคงมีความคุ้นเคยกันอยู่ไม่มากก็น้อยเรื่องหนี้ครัวเรือน เราได้เห็นข่าวเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีกันอยู่เป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่ากว่า80% ของข้อมูลหนี้ครัวเรือน มาจากฐานข้อมูลสถิติของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ฐานข้อมูลสถิตินี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเครดิตที่ไม่สามารถระบุตัวตน โดยได้มีการใช้วิธีการเข้ารหัสที่ไม่สามารถสืบค้นย้อนกลับไประบุตัวตนได้

หน่วยงานกำกับดูแลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของฐานข้อมูลสถิติเหล่านี้ จึงได้กำหนดให้สามารถนำข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์วิจัยทางวิชาการเพื่อประโยชน์สาธารณะและเพื่อการดำเนินนโยบายภาครัฐ โดยหน่วยงานสำคัญทางเศรษฐกิจของไทย 2 หน่วยงานที่ใช้ข้อมูลเครดิตในฐานข้อมูลสถิติในการจัดทำรายงานเป็นประจำ ได้แก่ ธนาคารแห่ประเทศไทย ใช้ในการจัดทำรายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทยรายไตรมาส และ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใช้ในการจัดทำรายงานภาวะสังคมรายไตรมาส นอกจากนี้ ในการออกแบบนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่นปัญหาหนี้ครัวเรือนและปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของวิสาหกิจขนาดเล็ก ก็มีการใช้ข้อมูลเครดิตจากฐานข้อมูลสถิติไปประกอบการวิเคราะห์เพื่อออกแบบโครงการที่ตอบสนองการแก้ปัญหาในช่วงระยะเวลานั้นๆ อาทิ โครงการปิดหนี้ไวไปต่อได้ และการพัฒนาอารีย์สกอร์

นอกจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว สถาบันวิจัยต่างๆ อาทิ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วยอึ้งภากรณ์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ก็ได้นำเอาข้อมูลเครดิตในฐานข้อมูลสถิติ ไปใช้ในการทำงานวิจัยและเผยแพร่ผลการวิจัยสู่สาธารณะอยู่เป็นระยะๆ ในช่วงนี้เราคงได้เห็นงานวิจัยของธนาคาร ทีทีบี ที่ระบุว่ามนุษย์เงินเดือนร้อยละ 40 มีหนี้ในระบบโดยเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลสูงสุด ในขณะที่งานวิจัยของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหา NPL เพิ่มขึ้นชัดเจนกว่ากลุ่มอื่นๆ อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปความสามารถในการชำระหนี้เป็นปกติยิ่งลดลง

งานวิจัยเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์จำกัดอยู่เพียงวงวิชาการเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อการวางแผนธุรกิจ การวางแผนจัดการทางการเงินของภาคส่วนต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจไทยอีกด้วย ข้อมูลอันทรงคุณค่าที่อยู่ในฐานข้อมูลสถิติเหล่านี้ ยังสามารถนำไปใช้วิเคราะห์วิจัยได้อีกมาก ผู้เขียนมีความตั้งใจและคาดหวังเป็นอย่างมากที่จะให้ข้อมูลเครดิตได้มีบทบาทและประโยชน์ในการบ่งชี้ ‘โอกาส’ ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากบทบาทในการเป็นสัญญานเตือนภัยทางเศรษฐกิจดังที่ผ่านมา