‘สภาพัฒน์’ ถอดบทเรียนขึ้น VAT ต่างประเทศ ชี้ไทยขยับ 1% เพิ่มรายได้ 9 หมื่นล้าน

สภาพัฒน์ประเมินว่าการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1% จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาทต่อปีการศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่า การขึ้น VAT ที่ประสบความสำเร็จต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนั้นประกาศล่วงหน้า และมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยควบคู่กัน
KEY
POINTS
- สภาพัฒน์ประเมินว่าการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1% จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาทต่อปี
- การศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่า การขึ้น VAT ที่ประสบความสำเร็จต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป
- นอกจากนั้นประกาศล่วงหน้า และมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยควบคู่กัน
- การปรับขึ้น VAT ควรทำในช่วงที่เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวอย่างแท้จริง และต้องกำหนดวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ชัดเจน เช่น เพื่อเป็นงบประมาณด้านสวัสดิการสังคม ที่สามารถนำมาใช้หลายด้าน
การปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของประเทศไทยจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 7% ไปเป็น 8.5% และขยับเพิ่มเป็น 10% ตามเพดานเดิมก่อนปี 2540 กลายเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจอีกครั้ง เมื่อกระทรวงการคลังได้จัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง พ.ศ.2569 - 2573 เพื่อเพิ่มรายได้ภาครัฐและลดการขาดดุลการคลังของประเทศ ก่อนที่ในประเด็นนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย จะออกมาระบุว่ารัฐบาลไม่มีแนวคิดในเรื่องนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นการนำเสนอแผนของกระทรวงการคลังเท่านั้น
เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการแถลงข่าวภาวะสังคมไทยไตมาส 3 ปี 2568โดยมีการเปิดเปิดผลศึกษา “บทเรียนขึ้น VAT ทั่วโลก” ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อเตรียมข้อมูลเสนอต่อรัฐบาลเกี่ยวกับแนวทาง และข้อดี ข้อเสียของการปรับขึ้น VAT
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสศช.เปิดเผยถึงแนวโน้มทางการคลังของประเทศว่า ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากภาระสวัสดิการและสังคมสูงวัยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ภาษีเติบโตช้ากว่ารายจ่าย ส่งผลให้หนี้สาธารณะปี 2568 จะสูงถึง 12.2 ล้านล้านบาท หรือ 64.8% ของจีดีพี และจะพุ่งสู่ระดับ 15.3 ล้านล้านบาท หรือ 68.2% ในปี 2573หากไม่มีมาตรการเสริมสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม
รายได้ VAT ปีละ 9.9 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นฐานรายได้สำคัญที่สุดของรัฐบาล คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของรายได้ภาษีทั้งหมด มูลค่าจัดเก็บรวม 992,829 ล้านบาท แต่ไทยยังคงใช้อัตรา 7% มาตั้งแต่ปี 2540 แม้กฎหมายกำหนดไว้ที่ 10% ส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เก็บ VAT ต่ำสุดในอาเซียน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ OECD อย่างมาก ทำให้รัฐมีข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณด้านสวัสดิการและการลงทุนในระยะยาว
ชี้ขึ้น VAT ต้องทำช่วงการบริโภค - เศรษฐกิจดี
ทั้งนี้ สศช.ได้ทำ “การศึกษาบทเรียนการปรับขึ้น VAT ของต่างประเทศ” อย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคลัองกับที่รัฐบาลเพิ่งอนุมัติแผนการคลังระยะปานกลาง ตามที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ระบุถึงแนวทางการขึ้นภาษี VAT ของไทย แต่ขอย้ำว่า การตัดสินใจขึ้นได้จะต้องอยู่ในภาวะที่การบริโภคฟื้นตัวอย่างแท้จริง โดยไม่ได้มาจากมาตรการกระตุ้นระยะสั้น และแน่นอนว่าไม่ใช่สถานการณ์ปัจจุบัน
4 องค์ประกอบประเทศขึ้น VAT สำเร็จ
โดย สศช.ได้วิเคราะห์ประสบการณ์ของสิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และโคลัมเบีย พบว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จมีองค์ประกอบร่วม 4 ประการ ได้แก่ 1. การกำหนดวัตถุประสงค์ในการนำรายได้ไปใช้อย่างชัดเจน 2. การปรับอัตราแบบค่อยเป็นค่อยไป 3. การกำหนดช่วงเปลี่ยนผ่านล่วงหน้าให้ธุรกิจและประชาชนปรับตัว 4. การออกมาตรการชดเชยกลุ่มรายได้น้อยควบคู่
สำหรับสิงคโปร์ ใช้ระบบอัตราเดียวโดยทยอยปรับภาษี GST ทีละ 1–2% ตามแผนที่ประกาศตั้งแต่ปี 2561 และเสริมด้วยโครงการบรรเทาผลกระทบ เช่น บัตรกำนัล GST เงินเข้าบัญชีสุขภาพ MediSave และเงินช่วยค่าสาธารณูปโภค (U-Save) เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของครัวเรือนรายได้น้อยและปานกลาง ทางด้านญี่ปุ่น ใช้ระบบ VAT สองอัตรา คืออัตราปกติ 10% และอัตราลดหย่อน 8%
สำหรับสินค้าจำเป็น พร้อมมีช่วงเปลี่ยนผ่านล่วงหน้าเกือบหนึ่งปี และยังมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น เงินอุดหนุนผู้ซื้อบ้าน การลดภาษีรถยนต์ ระบบเงินคืน 2–5% สำหรับผู้ชำระผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงช่วยค่าใช้จ่ายเด็กเล็กและเด็กแรกเกิดในครัวเรือนรายได้น้อย ส่วนสหราชอาณาจักร ใช้นโยบายประกาศล่วงหน้าราวครึ่งปี ก่อนขึ้น VAT เป็น 20% ในปี 2554 ทำให้ธุรกิจสามารถปรับระบบ และผู้บริโภคเตรียมตัวได้โดยไม่เกิดแรงกระแทกทันที
แนะมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บภาษี
ขณะเดียวกัน หลายประเทศมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ควบคู่กับการขึ้น VAT เช่น การบังคับใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-invoice / E-tax invoice), ระบบตรวจสอบธุรกรรมแบบเรียลไทม์, และมาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งช่วยให้ฐานภาษีกว้างขึ้นและลดความสูญเสียรายได้ของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณชนเป็นเรื่องสำคัญ โดยหลายประเทศใช้ช่องทางหลากหลาย ทั้ง SMS อธิบายการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี เว็บไซต์ E-Tax Guide และการให้คำแนะนำแก่ภาคธุรกิจ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในช่วงเปลี่ยนผ่าน
“บทเรียนจากต่างประเทศชี้ชัดว่า การขึ้น VAT ที่ได้ผลต้องทยอยปรับ มีช่วงเวลาปรับตัว และต้องดูแลผู้มีรายได้น้อยควบคู่ ไม่ใช่การเพิ่มภาระประชาชนโดยตรง แต่เพื่อสร้างความมั่นคงการคลังในระยะยาว สำหรับไทย หากมีการปรับ VAT ขึ้น 1% สศช.ประเมินว่ารัฐจะมีรายได้เพิ่มประมาณ 93,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเพียงพอจะนำไปใช้จ่ายในโครงการสำคัญได้ทันที"
แนะโมเดลขึ้น VATเพื่อทำสวัสดิการรัฐ
สำหรับโครงการที่จะใช้เม็ดเงินหากปรับขึ้น VAT เช่นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 91,000 ล้านบาท สำหรับ11.5 ล้านคน การนำไปใช้ใน โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ 56,000 ล้านบาท จำนวน13.5 ล้านคน และ โครงการเด็กแรกเกิด–เด็กเล็ก 18,000 ล้านบาท 2.3 ล้านคน
“การตัดสินใจเรื่อง VAT ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบแต่ต้องอาศัยการตัดสินใจของรัฐบาล แต่ต้องเตรียมการล่วงหน้าอย่างรอบและสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความพร้อมของประชาชน ที่ต้องมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มที่ได้ผลกระทบ เพื่อให้ระบบสวัสดิการของไทยยั่งยืนในระยะยาว” นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว







