ศาลสูงสหรัฐอาจถอดชนวนอาวุธป่วนการค้าโลก

ศาลสูงสหรัฐอาจถอดชนวนอาวุธป่วนการค้าโลก

ประธานาธิบดีทรัมป์ ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก ช่วงปี 2560-2564 ได้แก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐ โดยการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ระยะแรกขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25 % อะลูมีเนียม 10%

ซึ่งมีผลกระทบประเทศผู้ส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมีเนียมทุกประเทศ และขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนหลายรอบ ทำให้จีนขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐหลายรอบเป็นการตอบโต้ เกิดเป็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ทำให้การค้าระหว่างประเทศเกิดความปั่นป่วนไปเกือบทั่วโลก

ครั้นทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัยหนึ่ง ตั้งแต่ต้นปี 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ดำเนินนโยบายแก้ไขการขาดดุลการค้าของสหรัฐโดยออกคำสั่งฝ่ายบริหารขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐมาก แต่ครั้งนี้ออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ 10%เป็นอัตราขั้นพื้นฐาน และภาษีเฉพาะสินค้าอีกส่วนหนึ่ง รวมทั้งภาษีที่เรียกว่าภาษีตอบโต้เป็นอัตราเฉพาะของแต่ละประเทศอีกส่วนหนึ่ง

การออกคำสั่งฝ่ายบริหารขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ในครั้งนี้ มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศทั่วโลกเป็นวงกว้าง เกิดเป็นสงครามการค้ากับจีนอีกรอบหนึ่ง และเกิดสงครามการค้าย่อยฯกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นอีกด้วย นอกจากนี้ก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่อการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก ที่สำคัญได้ทำลายหลักการของการจัดตั้งองค์การการค้าโลกให้ หมดสภาพลงด้วย

การออกคำสั่งฝ่ายบริหารขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ นอกจากทำให้เกิดความปั่นป่วนต่อการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก ทำลายองค์การการค้าโลก ดังกล่าวข้างต้น ก็เกิดผลกระทบเสียหายต่อผู้ประกอบธุรกิจนำเข้า ผู้ค้าสินค้านำเข้า ผู้ประกอบกิจการการผลิตที่ต้องใช้สินค้านำเข้าในการผลิตของสหรัฐ และผู้บริโภคชาวสหรัฐอย่างกว้างขวาง จึงมีผู้นำไปฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐหลายคดี ซึ่งเป็นกรณีของคำสั่งที่ออกโดยอาศัยกฎหมาย International Emergency Economic Power Act of 1974 คดีที่สำคัญ เช่น

- คดีระหว่าง V.O.S. Selections, Inc. และสหรัฐ โดย V.O.S. Selections, Inc ยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ (US Court of International Trade)

- คดีระหว่าง Learning Resources และTrump โดย Learning Resources ฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์ต่อศาล Columbia District Court. ต่อมามีการโอนคดีไปยังศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ

- คดีที่รัฐ Oregon และรัฐอื่นรวม 14 รัฐ ฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์และพวก โดยยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ

คดีดังกล่าว ศาลการค้าระหว่างประเทศ มีคำพิพากษาสรุปได้ว่า คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตาม International Emergency Economic Power Act of 1974 เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการทำเกินอำนาจ พิพากษาให้ฝ่ายบริหารหยุดการขึ้นและเรียกเก็บภาษีนำเข้าตามคำสั่งดังกล่าว

ฝ่ายบริหารของสหรัฐได้ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศดังกล่าว ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ว่าคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายดังกล่าวให้ไว้ และไม่ชอบด้วยหลักการแบ่งแยกอำนาจ เท่ากับฝ่ายบริหารไปก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

ฝ่ายบริหารของสหรัฐ ยื่นฎีกาต่อศาลสูงแห่งสหรัฐอเมริกา ศาลสูงเปิดให้คู่ความแถลงการณ์ด้วยวาจาเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 โดยผู้พิพากษาศาลสูง องค์คณะทั้งเก้าคนมีอำนาจไต่สวนซักถามคู่ความด้วย

แนวโน้มของคำพิพากษาศาลสูง  จากคำถามของผู้พิพากษาที่ไต่สวนซักถามคู่ความผู้ถูกฟ้องที่เป็นฝ่ายบริหาร แสดงออกถึงท่าทีในเบื้องต้นของผู้พิพากษาแต่ละคน ที่นักวิเคราะห์และสื่อที่ติดตามการพิจารณาคดีนี้มีความเห็นไปในทำนองเดียวกัน

ว่าเสียงข้างมากน่าจะมีความเห็นว่า การออกคำสั่งขึ้นภาษีของฝ่ายบริหารโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Power Act of 1974 น่าจะเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจไว้ เป็นการละเมิดหลักการการแบ่งแยกอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

ประธานาธิบดีทรัมป์ จะเข้าไปแทรกแซงใช้อำนาจกดดันการพิจารณาคดีของศาลสูงได้หรือไม่ 

ตามหลักการการแบ่งแยกอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ศาลสูงที่เป็นสถาบันสูงสุดผู้ใช้อำนาจตุลาการมีความเป็นอิสระแยกอย่างเด็ดขาดจากฝ่ายบริหาร ตุลาการศาลสูงทั้งเก้าคนดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต เป็นคำตอบได้ว่าหากประธานาธิบดีเข้าแทรกแซงกดดันการพิจารณาคดีนี้ของศาลสูงไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ก็ไม่มีผลต่อคำพิพากษาแต่อย่างใด

คำพิพากษาเพื่อรักษาหน้า

มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ศาลสูงอาจมีคำพิพากษาที่เป็นคุณต่อฝ่ายบริหารเพื่อรักษาหน้าของประธานาธิบดีและประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพิจารณาจากผลคดีในอดีตที่ผ่านมาหลายคดี ที่มีประเด็นที่ฝ่ายบริหารต้องการให้ศาลสูงมีคำพิพากษาที่เป็นคุณแก่ฝ่ายบริหาร

เพื่อประโยชน์ในการดำเนินนโยบายทางด้านความมั่นคงหรือการเมืองระหว่างประเทศรวมทั้งเพื่อการรักษาหน้าของสหรัฐด้วย แต่ศาลสูงก็ได้มีคำพิพากษาออกมาอย่างอิสระตามบทบัญญัติของกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยไม่คำนึงถึงประเด็นดังกล่าวและการรักษาหน้าของประธานาธิบดีและประเทศแต่อย่างใด 

นักวิเคราะห์ก็เชื่อว่าคำพิพากษาของศาลสูงในคดีคำสั่งขึ้นภาษีของฝ่ายบริหาร ก็คงพิจารณาพิพากษาตามหลักกฎหมายและหลักการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่ศาลสูงยึดถือมาอย่างเคร่งครัด โดยไม่คำนึงเรื่องการรักษาหน้าแต่อย่างใด

ผลหากฝ่ายบริหารแพ้คดี

ถ้าศาลสูงพิพากษาว่าคำสั่งขึ้นภาษีของฝ่ายบริหารเป็นการกระทำเกินอำนาจ ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ประธานาธิบดีต้องยุติการออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าโดยอาศัยกฎหมาย International Emergency Economic Power Act of 1974 ส่วนภาษีนำเข้าที่เก็บไปแล้วก็ต้องคืนให้ผู้นำเข้าต่อไป และอาจมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายบริหารตามมาด้วย