ไทยเร่งดีล FTA 3 ตลาด หวังลดพึ่งส่งออกตลาดสหรัฐ กระจายความเสี่ยง

“พาณิชย์” เร่งขยายตลาดส่งออกใหม่ พร้อมบุกตลาดศักยภาพ ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้า 1.39 แสนล้าน วางไทม์ไลน์ปิดดีล FTA 3 ตลาด เร่งสรุปข้อตกลงไทย-เกาหลี พร้อมเสนอข้อตกลงไทย-EFTA เข้ารัฐสภา ม.ค.ปีหน้า ดันไทยเข้าซัพพลายเชนโลกใหม่ สศช.หนุนรัฐบาลเร่งขยายตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง ลดพึ่งส่งออกไปสหรัฐ
KEY
POINTS
- ไทยเร่งกระจายความเสี่ยงทางการส่งออกเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งและได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย
- รัฐบาลตั้งเป้าผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 3 ฉบับให้มีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- ตลาดเป้าหมายหลัก 3 แห่งในการเจรจา FTA คือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) สหภาพยุโรป (EU) และเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มจีดีพีของประเทศ
ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐเป็นอันดับที่ 1 เมื่อเทียบคู่ค้าทั้งหมด โดยช่วง 9 เดือน แรกของปี 2568 มีมูลค่าการส่งออกสินค้าไปสหรัฐ 52,109 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 28.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว และคิดเป็นสัดส่วน 20.5% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด
ขณะที่ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่เป็นอันดับ 2 ในช่วง ม.ค.-ก.ย.2568 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปจีน 30,667 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 16.1% และคิดเป็นสัดส่วน 12.1% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด
ทั้งนี้เมื่อสหรัฐใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ที่เรียกเก็บภาษีจากประเทศที่ส่งออกสินค้าไปขายสหรัฐ โดยประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่ม 19% ซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการกระจายตลาดส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่มากขึ้น
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์กำหนดกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้การส่งออกไทยภายใต้แนวทาง Balance-Inclusive-Diversify สร้างสมดุลระหว่างการขยายตลาดเดิม หาตลาดใหม่ และนำตัวเราไปอยู่ใน Supply Chain ใหม่ และกระจายทั้งสินค้าและตลาด
สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจอย่างสมดุล สร้างความเชื่อมโยงภายในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก และใช้ทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเป็นจุดแข็งให้มากที่สุด
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นโยบายการหาตลาดใหม่เพื่อส่งเสริมการส่งออกของไทยให้เพิ่มขึ้นเป็นนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา และกระทรวงพาณิชย์กำหนดเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ซึ่งได้เสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 และได้รับความเห็นชอบ
สำหรับแนวทางดังกล่าวกำหนดเป็นนโนบายเขตการค้าเสรี (FTA) และการบุกตลาดใหม่ เพื่อผลักดันการมีผลบังคับใช้ข้อตกลง FTA ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA)
รวมถึงผลักดันการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (Comprehensive Economic / Partnership : CEPA) ไทย-เกาหลีใต้ รวมทั้งเปิดตลาดใหม่ที่อื่นเพิ่มเติม
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้มีการกำหนดเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าทางการค้าเพิ่ม 8,750 ล้านบาท ใน 4 เดือน และเพิ่มขึ้น 139,132 ล้านบาทใน 1 ปี โดยมี FTA รวม 3 ฉบับที่จะดำเนินการให้สำเร็จภายใน 1 ปีเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และโอกาสธุรกิจรวมทั้งการค้าและการลงทุนในระยะยาว ประกอบด้วย
1.FTA ไทย-EFTA ช่วยเพิ่มจีดีพี 0.179% ตั้งเป้าเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบข้อตกลงในเดือน ม.ค.2569
2.FTA ไทย-EU ช่วยเพิ่มจีดีพี 1.28% มีแผนจะเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
3.FTA ไทย-เกาหลีใต้ ช่วยเพิ่มจีดีพี 0.32-0.44% มีแผนจะสรุปประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในเดือน ธ.ค.2568
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับเห็นชอบจาก ครม.เศรษฐกิจให้บุกตลาดใหม่ และตลาดที่มีศักยภาพ (Special Task Force) และกิจกรรมการส่งเสริมการค้า (Trade Promotion) ได้แก่ บุกตลาดซาอุดิอาระเบีย บุกตลาดจีน เวียดนาม เป็นต้น
“พาณิชย์”รุกตลาดใหม่เอเชีย
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มีแผนงานการเปิดตลาดใหม่ภายใต้โครงการ “บุกตลาดศักยภาพใหม่รับมือการค้าโลกหรือ“Special Task Force: STF”ตามนโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ต้องการผลักดันการค้าระหว่างประเทศ เพิ่มมูลค่าการส่งออก รักษาตลาดเดิม และบุกตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่
1.จีนตะวันตก (เฉิงตู ฉงชิ่ง สิบสองปันนา) กลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง
2.อาเซียน (เวียดนาม) กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก
3.อินเดีย (มุมไบ) กลุ่มสินค้าและบริการเพื่อสิ่งแวดล้อมคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มกว่า 190 ล้านบาท
นอกจากนี้เตรียมจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจแบบสุดพิเศษ โดยเชิญผู้นำเข้า ผู้ซื้อจากสหรัฐยักษ์ใหญ่ และเป็นหน้าใหม่ มาเจรจาธุรกิจกับผู้ผลิต ผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทย เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อ และช่องทางการขายใหม่
เปิดแผนขยายตลาดใหม่ปี 69
ขณะที่ปี 2569 หลายตลาด ประกอบด้วย ยุโรป อันดอร์รา นอร์เวย์ ลาตินอเมริกา เม็กซิโก เปอร์โตริโก โดมินิกัน บราซิลแอฟริกาตะวันออกกลาง ตูนีเซีย เอธิโเปีย ตุรกี กาตาร์ UAE อิหร่าน เคนยา แทนซาเนีย ยูกานดา ซาอุดีอาระเบีย เทลอาวีฟ เอเชียใต้ อินเดียเมืองรอง ปากีสถาน บังคลาเทศ เนปาล ศรีลังกา รัสเซีย
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์บุกตลาดศักยภาพใหม่เหล่านี้ด้วยสินค้า/บริการที่แตกต่างกัน เช่น ภูมิภาคแอฟริกา นำเสนอสินค้าอุตสาหกรรมหนัก และเครื่องจักรกล ตลาดยุโรป สินค้าอาหาร และเครื่องนุ่งห่มแฟชั่น ใช้ประโยชน์จากความร่วมมือ EFTA ซึ่งเป็นการบุกตลาดใหม่
สำหรับโครงการ Special Task Force กระทรวงพาณิชย์ จัดคณะผู้แทนการค้าภายใต้โครงการ STF สินค้าเป้าหมาย สินค้าอาหารเครื่องดื่ม อาหารสัตว์เลี้ยง แฟชั่น วัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายว่าการส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่คาดว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์ หรือเติบโตไม่น้อยกว่า 9 จากเดิมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.8 % ในปี 2567
สศช.หนุนรัฐบาลเร่งหาตลาดใหม่
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วงที่เหลือของปี 2568 ไปถึงปี 2569 โดยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดการพึ่งการส่งออกไปสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่อาจสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด
ทั้งนี้ การดำเนินการควบคู่ไปกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ขั้นตอนการเจรจา โดยเฉพาะข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจาประเทศคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพ
นอกจากนี้ในการการขับเคลื่อนภาคการส่งออกของรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับการลดต้นทุน การผลิต การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ เช่น เร่งกระบวนการเจรจาที่จะนำไปสู่ข้อตกลงกับสหรัฐ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2569 ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
สำหรับมาตรการนี้ต้องทำควบคู่กับการส่งเสริมการใช้สินค้าและวัตถุดิบและสินค้า ขั้นกลางในประเทศ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการสำคัญของประเทศคู่ค้า และส่งเสริมการบริหารความเสี่ยงจาก อัตราแลกเปลี่ยนในภาคธุรกิจ
ส่วนการเจรจาการค้ากับสหรัฐก็ยังคงมีความจำเป็นที่ต้องเดินหน้าต่อเนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ไทยส่งออกเพิ่มขึ้นและการเจรจาทางการค้าเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกันต่อไปในอนาคต







