การแยกการค้าออกจากการเมืองและความมั่นคง

การแยกการค้าออกจากการเมืองและความมั่นคง

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยแสดงท่าทีชัดเจนกับสหรัฐอเมริกาว่า ไทยต้องการให้แยกการเมือง คือปัญหาชายแดนกับกัมพูชา ออกจากประเด็นการเจรจาการค้าอย่างเด็ดขาด

เช่นที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สื่อซึ่งได้ถูกเผยแพร่จนเป็นที่รับรู้ทั่วกันแล้ว

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่นายกรัฐมนตรี ได้หารือเรื่องนี้กับประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 15 พฤศจิกายน และได้แจ้งกับประชาชนว่า ท่าทีดังกล่าวได้รับการยืนยันจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งก็ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง

โดยนายกรัฐมนตรีไทย ได้รับการยืนยันว่า ประธานาธิบดีสหรัฐรับหลักการของไทยที่จะต้องแยกเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐออกจากการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยได้มีการสื่อสารด้วยว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะเขียน สรุปผลการหารือดังกล่าวลงในเฟซบุ๊ก

ผมจึงได้ขอเอาข้อความที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียลงในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน มาให้อ่านกันอย่างชัดๆ ดังนี้ ครับ  นายกรัฐมนตรีอันวาร์เขียนเพียง 2 ประโยค โดยประโยคแรกบอกว่า ผู้นำทั้ง 4 คน ยืนยันภาระผูกพันที่จะบังคับใช้ปฏิญญาสันติภาพกรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur Peace Accord) ให้มีประสิทธิผลอย่างครบถ้วน (“full and effective implementation”) 

การแยกการค้าออกจากการเมืองและความมั่นคง

ทั้งนี้ ปฏิญญาสันติภาพที่ว่านี้ หมายถึงปฏิญญาร่วมที่ได้มีการลงนามโดยนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ที่มีนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสักขีพยานที่การประชุมสุดยอดของอาเซียน

โดยชื่อที่เป็นทางการของปฏิญญาคือ “Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia”.

ถามว่า ทำไมจึงใช้ชื่อต่างกัน? ก็ต้องบอกว่า ชื่อที่เป็นทางการคือ “Joint Declaration…” นั้น น่าจะเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายไทย ที่ไม่ต้องการให้ใช้คำว่า “สันติภาพ” (แต่เป็นคำที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชอบมาก) เพราะยังไม่ได้เห็นว่าสันติภาพใกล้ที่จะเกิดขึ้น

ปฏิญญาฯ จึงเป็นเพียง “ผลของการพบปะกัน“ (outcomes of their meeting) ที่กำหนดขั้นตอนในการดำเนินการร่วมกัน เพื่อที่จะให้นำไปสู่สันติภาพได้ โดยสรุปว่ามีอยู่ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน การเจรจาปักปันเขตแดนและการร่วมมือกันในการปราบปราม Scammer

หากอ่านข้อความที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์เขียนในประโยคแรก จะเห็นว่า ใจความคือผู้นำทั้ง 4 ท่าน ยืนยันว่า จะร่วมกันยึดถือการดำเนินการตามปฏิญญาดังกล่าว “we (ทั้ง 4 ท่าน) reaffirmed our commitment to ensuring the full and effective implementation of the Kuala Lumpur Peace Accord” 

ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจของคนไทยทั้งประเทศว่า นายกรัฐมนตรีไทยยืนยันไปแล้วว่า ไทยได้ถอนตัวออกจากปฏิญญาเป็นการชั่วคราว (temporary suspension) เพื่อรอให้กัมพูชาแสดงท่าทีขอโทษ และหาผู้ที่รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น (คือการวางทุ่นระเบิดมาลงโทษ) ตลอดจนการมีมาตรการป้องกัน ไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

ประเด็นคือ ท่าทีของไทยกับการร่วมหรือไม่ร่วมปฏิญญาฯ นั้น คืออะไรกันแน่ เพราะข้อตกลงของนายกรัฐมนตรีอันวาร์บอกว่า ผู้นำทั้ง 4 ยืนยัน ว่าได้กลับไปรับรองปฏิญญาแล้ว แต่นายกรัฐมนตรีไทยบอกว่า เราถอนตัวออกไปจากปฏิญญาฯ ดังกล่าวชั่วคราว

ประเด็นต่อมาคือ ประโยคที่ 2 ของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ระบุว่าเรา (คือผู้นำทั้ง 4) เห็นพ้องต้องกันว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิด ควรมีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยไม่ให้มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ เกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้า

หากอ่านแยกประโยคทั้ง 2 ในลักษณะนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ตามความเข้าใจของนายกรัฐมนตรีอันวาร์และประธานาธิบดีสหรัฐนั้น ประเทศไทยมิได้ถอนตัวออกไปจากปฏิญญาฯ เป็นการชั่วคราวแต่อย่างใด และสำหรับการแยกการค้าออกจากการเมืองนั้นหมายถึงเฉพาะกระบวนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเท่านั้น

ครั้งต่อไป ผมจะเขียนถึงการโยงเรื่องของความมั่นคงกับการค้า ซึ่งต้องขอบอกว่ามีการโยงทั้ง 2 เรื่องเป็นประจำ และเป็นเรื่องปกติ โดยที่ฝ่ายไทยเราเองก็ทำเช่นนั้นกับสหรัฐมาเป็นเวลาหลายสิบปี แม้กระทั่งเมื่อนายกรัฐมนตรีของไทยก็ไม่ได้ปฏิเสธเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐบอกว่า หากการกอบกู้ทุ่นระเบิดคืบหน้าได้ดี

ก็อาจทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐลดภาษีศุลกากรให้ไทยลงไปได้อีกจากระดับปัจจุบันที่เก็บอยู่ที่ 19% และในอดีตไทยเราก็จะพูดว่า สหรัฐอเมริกาควรจะอะลุ่มอล่วยและผ่อนปรนให้เราในเรื่องของการค้า เพราะเรากับสหรัฐเป็นพันธมิตร (มหามิตร?) ทางการเมืองและความมั่นคงมาเป็นเวลายาวนาน