ราคาข้าวเปลือกดีดขึ้นรับออร์เดอร์ใหม่ ขณะพ.ย.ผลผลิต17ล้านตันเตรียมทะลัก

ราคาข้าวเปลือกดีดขึ้นรับออร์เดอร์ใหม่ ขณะพ.ย.ผลผลิต17ล้านตันเตรียมทะลัก

ราคาข้าวเปลือกพุ่ง ตันละ 200 ส่วนราคาส่งออกเพิ่ม เฉียดตันละ 10 ดอลลาร์ รับสัญญาณตลาดซื้อเก็บ-เงินบาทแข็งค่า ด้าน “นบข.” เห็นชอบให้จ่ายไร่ละ 2,000 แลกปลูกพืชตรงดีมานด์ตลาด ผู้ส่งออก ตั้งเป้าปี 69 ส่งออก 7.5 ล้านตัน

เดือนพ.ย. 2568 มีผลผลิตข้าวออกสูตลาดประมาณ 17.047 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็น 63.17% ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด คงเหลือผลผลิตที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดอีกประมาณ 2.460 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ9.11% ของผลผลิตข้าวนาปี ทั้งหมด นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของนโยบายข้าวที่ต้องประคับประคองไม่ให้ราคาข้าวลดลง จนกระทบรายได้ชาวนา จากปัจจัยผลผลิตล้นตลาด

ราคาข้าวเปลือกดีดขึ้นรับออร์เดอร์ใหม่ ขณะพ.ย.ผลผลิต17ล้านตันเตรียมทะลัก

ข้อมูลจากสมาคมโรงสีข้าวไทย ระบุว่า  ราคาข้าวเปลือกเจ้าเพิ่ม ตันละ 200 บาท โดย ราคา ณ วันที่ 19 พ.ย. 2568 ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% (จ.อยุธยา) ตันละ 6,600 -7,000 บาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 10 พ.ย. 2568 ที่ ตันละ 6,300-6,700 บาท  และเพิ่มขึ้นจากวันที่ 17 พ.ย. 2568  ที่ตันละ 6,500-6,900 บาท ส่วนราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ไม่เปลี่ยนแปลงเฉลี่ยตันละ 15,550-16,000 บาท  รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น คือ การนำเข้าข้าวจากประเทศจีน 5 แสนตัน และ สิงคโปร์ 1 แสนตัน 

 

ด้านราคาส่งออกข้าว พบว่ามีราคาหอมมะลิ 68/69 ณ วันที่ 17 พ.ย.2568 ตันละ 1,060 ดอลลาร์ (เอฟโอบี) เพิ่มขึ้นจาก วันที่ 5 พ.ย. 2568 ที่ตันละ 992 ดอลลาร์ ส่วนข้าวขาว 25% ตันละ 357 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก ตันละ 350 ดอลลาร์ และข้าวนึ่ง 100 % ตันละ 374 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากตันละ 373 ดอลลาร์  รายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่ราคาข้าวไทยสูงขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเงินบาทแข็งค่าและผันผวนหนัก 

มตินบข.โชว์ออร์เดอร์จีน-สิงคโปร์  

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบาย และบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)ครั้งที่ 1/2568 ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมหารือเพื่อกำหนดทิศทางการบริหารจัดการข้าวของประเทศ รวมถึงการผลิต การตลาด และการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ราคาข้าวเปลือกดีดขึ้นรับออร์เดอร์ใหม่ ขณะพ.ย.ผลผลิต17ล้านตันเตรียมทะลัก

      โดยในปีนี้ตลาดข้าวโลกมีความผันผวนสูง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้เร่งดำเนินการขายข้าว โดยเฉพาะการบรรลุข้อตกลงขายข้าว ให้สาธารณรัฐประชาชนจีน เพิ่มเติมอีก 500,000 ตันถือเป็นการบรรลุผลสำเร็จ จะส่งผลให้ราคาข้าวหอมมะลิจะขยับ มาอยู่ในระดับ 13,000 บาทต่อตันขึ้นไป

นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ปิดดีลขายข้าวและอาหารล่วงหน้า (Food Security) ให้สิงคโปร์ 100,000 ตัน ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานทำหน้าที่เป็น “เซลล์แมน” ในการขายสินค้าไทยให้ได้มากที่สุด

 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยปรับวงเงินสินเชื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาด ข้าวเปลือกเจ้าจาก 8,000 บาท/ตัน เป็น 5,800 บาท/ตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี จาก 9,000 บาท/ตัน เป็น 7,600 บาท/ตัน ข้าวเปลือกเหนียวจาก 10,000 บาท/ตัน เป็น 8,600 บาท/ตัน

ทั้งนี้ มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำรายละเอียดงบประมาณเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป การขยายระยะเวลาโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 ให้ขยายออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมสิ้นสุด 31 ต.ค. 68 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย. 69 มาตรการดูดซับผลผลิตข้าวส่วนเกิน ปีการผลิต 2568/69 และมาตรการระยะยาว เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต

ประกอบด้วย 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับซื้อข้าวในราคานำตลาด (บวกไม่เกิน 300 บาท/ตัน) เพื่อสีแปรสภาพและกระจายสู่ตลาดปลายทาง เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก เน้นกลุ่มข้าวขาวเป็นหลัก

และ 2) การสนับสนุนการปลูกข้าวคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มมูลค่า (ข้าวประณีต) โดยเชื่อมโยงตลาด (Business Matching) และสนับสนุนเครื่องจักร อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก เป้าหมายกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม และมอบหมายกรมการข้าว พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด การทบทวนกฎระเบียบการนำเข้าข้าวตามพันธกรณีภายใต้ WTO ของไทย

 3. มาตรการดูดซับผลผลิตข้าวส่วนเกิน ปีการผลิต 2568/69 และมาตรการระยะยาว เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย ได้แก่

- โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับซื้อข้าวในราคานำตลาด (บวกไม่เกิน 300 บาท/ตัน) เพื่อสีแปรสภาพและกระจายสู่ตลาดปลายทาง เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก เน้นกลุ่มข้าวขาวเป็นหลัก 

จ่ายไร่ละ2พันบาทแลกเลิกปลูกข้าว

-โครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวนาปรังเป็นพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร ภายใต้มาตรการดูดซับผลผลิตข้าวส่วนเกิน ปีการผลิต 2568/69 และมาตรการระยะยาว เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิตที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมาตรการส่งเสริมเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ตลาดต้องการ จำนวน 1 ล้านไร่ โดยสนับสนุนเกษตรกร 2,000 บาท/ไร่ (ไม่เกิน 10 ไร่/ครัวเรือน) นั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เพิ่มเติมข้อมูลในรายละเอียดการดำเนินงาน เพื่อพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติครั้งถัดไป

3. การสนับสนุน การปลูกข้าวคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มมูลค่า (ข้าวประณีต) โดยเชื่อมโยงตลาด (Business Matching) และสนับสนุนเครื่องจักร อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก เป้าหมายกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม และมอบหมายกรมการข้าว พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการ ของตลาด  4. ทบทวนกฎระเบียบการนำเข้าข้าวตามพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก( WTO) ของไทย 

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (MAFF) ของญี่ปุ่น ได้ร้องขอให้ไทยพิจารณาเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวญี่ปุ่นภายใต้ โควตา WTO เพื่อให้สอดคล้อง กับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในไทย ดังนั้น เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทางการค้าที่ดีกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้แก้ไขระเบียบฯ โดยเพิ่มปริมาณการนำเข้าสำหรับผู้มีสิทธิ แต่ละราย จากเดิม ไม่เกิน 100 เมตริกตัน/ราย/งวด เป็น ไม่เกิน 300 เมตริกตัน/ราย/งวด

ราคาข้าวเปลือกดีดขึ้นรับออร์เดอร์ใหม่ ขณะพ.ย.ผลผลิต17ล้านตันเตรียมทะลัก

 และ 5การแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ แบ่งออกเป็น 4 คณะย่อย ได้แก่ คณะอนุกรรมการ นโยบายและบริหารข้าว แห่งชาติด้านการผลิต คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และคณะอนุกรรมการติดตาม กำกับดูแลการบริหารจัดการ ข้าวระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดผลดี ต่อการพัฒนาระบบการผลิตข้าว กำหนดราคาที่เป็นธรรม เป็นผลดีต่อเกษตรกรไทย

ท้ำท่วม- ราคาผันผวนทำพื้นที่ปลูกข้าวลด

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า การปลูกข้าวนาปี 2568/69 คาดว่าจะมีเนื้อที่ 61.341 ล้านไร่ ผลผลิต 26.9 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 440 กิโลกรัม (กก.) โดยรวมแล้วเนื้อที่การเพาะปลูกลดลงเนื่องจากราคาข้าวไม่จูงใจให้เกษตรกรทำนา บางพื้นที่ลดการผลิตเหลือเพียงรอบเดียวจากเฉลี่ยที่ปีละ 2 รอง 

อย่างไรก็ตาม แม้เนื้อที่การเพาะปลูกจะลดลงแต่ปริมาณผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเล็นน้อยจากปัจจัยปริมาณน้ำเพียงพอซึ่งทำให้ข้าวเจริญเติบโตได้ดี แต่ก็ยับพบว่า พื้นที่ภาคเหนือที่เผชิญอุทกภัยทำให้ผลผลิตเสียหายบางส่วน

ในส่วนข้าวนาปรัง ปี 2569 คาดว่า จะมีเนื้อที่เพาะปลูก 12 ล้านไร่ ผลผลิต8.4 ล้านตัน โดยเนื้อที่เพาะปลูกลดลงเป็นผลจากชาวนาไม่มั่นใจสถานการณ์ราคาข้าว จึงปรับไปปลูกพืชอื่นแทน เช่น อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  ซึ่งข้าวนาปรังผลผลิตจะออกสู่ตลาด มากที่สุดช่วง มี.ค. -เม.ย. 2569

ราคาข้าวเปลือกดีดขึ้นรับออร์เดอร์ใหม่ ขณะพ.ย.ผลผลิต17ล้านตันเตรียมทะลัก

คาดส่งออกข้าวปี69  ไทยคว้า7.5ล้านตัน 

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ในปี 2569 คาดว่าจะส่งออก ได้ที่ 7.5 ล้านตัน ตัวเด่นก็คือ ข้าวหอมมะลิ อาจจะลดลงบ้าง ก็เนื่องจากข้าวประเทศกัมพูชา ที่ขายไม่ออก โดยปกติเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วจะไหลมาที่ประเทศไทย แล้วสวมเป็นข้าวหอมมะลิ แต่เมื่อปิดด่านข้าวจะไหลไปประเทศเวียดนามแทน ก็ทำให้เวียดนามมีความหอมที่จะขายแข่งกับไทยมากขึ้น และมีคุณภาพใกล้เคียงกับหอมมะลิ แล้วขายในราคาถูกกว่า ก็จะส่งผลทำให้ส่งออกข้าวหอมมะลิปรับตัวลดลง

แต่โชคดี สหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด ยังไม่ซื้อข้าวจากประเทศเวียดนาม ก็หวังว่าไทยจะยังคงตลาดนี้ไว้ได้ ส่วนที่จะเป็นปัจจัยลบมากที่สุดก็คือข้าวขาว ก็มีคู่แข่งมากทั้งปากีสถาน เมียนมา เวียดนาม รวมทั้งกัมพูชา ซึ่งตรงนี้คิดว่าส่วนที่ยังลำบากมากอยู่ในปีหน้า โดยเฉพาะประเทศอินดีย หากมีการระบายข้าว 20 ล้านตัน น่าจะออกมาในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด คาดว่า 300 ดอลาร์สหรัฐต่อตัน ก็จะทำให้มีแรงจูงใจหลายประเทศจะหันสนใจที่จะซื้อ

อย่างไรก็ดีโดยภาพรวมประเทศไทยควรปลูกข้าวให้น้อยลง หันไปทำพืชกษตรตัวอื่นที่มีรายได้ดีกว่า และในอนาคตก็อาจจะส่งออกแค่เฉพาะข้าวหอม ไม่จำเป็นจะต้องส่ง 8-9 ล้านตัน อาจจะส่งแค่ 4-5 ล้านตัน แค่ข้าวคุณภาพเพียงพอแล้วอาทิ ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุมธานี และข้าวเหนียว เป็นต้น ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ง่ายที่จะโน้มน้าวให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น เนื่องจากอย่างน้อยเกษตรกรปลูกไว้รับประทานเองด้วย