“เอกนิติ” ลั่นปี 69 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการลงทุน ดัน Thailand fast past ปลดล็อกลงทุน 3 แสนล้าน

“เอกนิติ” ลั่นปี 69 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการลงทุน ดัน Thailand fast past ปลดล็อกลงทุน 3 แสนล้าน

“เอกนิติ” ลั่นปี 69 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการลงทุน ดันโครงการ “Thailand fast past”   - upskill แรงงาน 1 แสนคน -  อัปเกรดโรงงาน เข้า ครม.เศรษฐกิจสัปดาห์หน้า เร่งลงทุน 60 โครงการ 3 แสนล้านในปี 69  ส่วนสัปดาห์ต่อไปดันแก้หนี้เกษตร-SMEs เข้า ครม.เศรษฐกิจสัปดาห์ถัดไป

KEY

POINTS

  • “เอกนิติ” ลั่นปี 69 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการลงทุน
  • ดันโครงการ “Thailand fast past” - upskill แรงงาน 1 แสนคน - อัปเกรดโรงงาน เข้า ครม.เศรษฐกิจสัปดาห์หน้า
  • เร่งลงทุน 60 โครงการ 3 แสนล้านในปี 69
  •  ส่วนสัปดาห์ต่อไปดันแก้หนี้เกษตร-SMEs เข้า ครม.เศรษฐกิจสัปดาห์ถัดไป

วันนี้ (20 พ.ย.68) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เข้ามาทำงานทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 นั้นสามารถขยายตัวสามารถที่จะรอดพ้นจากการติดหล่ม และขยายตัวได้มากกว่าที่เดิมหากไม่มีมาตรการอะไรเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้แค่ 0.3% ซึ่งมาจากโครงการต่างๆ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีคืน การเร่งเบิกจ่ายของรัฐบาล และโครงการตามสวัสดิการต่างๆ การฟื้นตัวที่ยั่งยืนจะต้องเน้นที่การลงทุนเพื่ออนาคต

ทั้งนี้จุดสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปในปี 2569 จะต้องมีการเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน

โดยในปีหน้ารัฐบาลจะผลักดันให้เป็นปีแห่งการลงทุน ทั้งเรื่องการลงทุนคน เรื่องรีสกิล อัปสกิล คนไทยซึ่งเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ครั้งใหญ่ และการผลักดันให้มีการลงทุนโครงการใหญ่ๆ และการลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาด นำไปสู่ออโตเมชั่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการอัปเกรดการลงทุน เช่น ดาต้าเซนเตอร์ ที่ต้องการการลงทุนใหม่ และใช้นวัตกรรมทางการเงินทั้งเรื่องของการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไปต่อได้

นายเอกนิติ กล่าวว่าในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ)วันจันทร์หน้า (24 พ.ย.68) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะเสนอโครงการส่งเสริมการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งปร ะกอบไปด้วย 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ Thailand Fast Pass เพื่อปลดล็อกโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการลงทุน โดยมีโครงการที่มีความพร้อมที่จะลงทุนในปี 2569 กว่า 60 โครงการ 3 แสนล้านบาท ซึ่งโครงการเหล่านี้ยื่นคำขอ และได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว แต่ยังติดขัดเรื่องกฎระเบียบ ซึ่งเมื่ออนุมัติแล้วรัฐบาลจะใช้มติ ครม.เพื่อปลดล็อกการลงทุนโครงการเหล่านี้ให้เร็วขึ้น โดยโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการดาต้าเซนเตอร์ โครงการด้านการลงทุนพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV)หรือการลงทุนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่รอการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการปลดล็อกเพื่อให้มีการลงทุนได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตสร้างโรงงาน การขอน้ำ และไฟฟ้า ต้องมีการอนุมัติให้เร็ว

โดยโครงการ "Fast Pass" จะไม่เพียงแต่แก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แต่จะถูกนำไปเสนอในคณะกรรมการชุดของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวกับเรื่องของการทำ regulatory กิโยติน เพื่อปลดล็อกกฎกระทรวงและระเบียบต่างๆ ที่เป็นปัญหาจริงๆ เพื่อให้เกิดการแก้ไขในระยะยาว

2.โครงการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยโดยใช้เงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประมาณ 1 หมื่นล้านบาท มาอุดหนุนในการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน การลดต้นทุน การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เป็นการเปลี่ยนไปสู่โลกยุคใหม่

และ 3.โครงการรีสกิล /อัปสกิลแรงงาน เพื่อสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะให้บุคลากรประมาณ 100,000 คน

“ตอนนี้ประเทศไทยกินบุญเก่า แต่วันนี้โลกไม่ต้องการ การลงทุนเหมือนเดิม โดยเราต้องมีการลงทุนพลังงานสะอาด เช่น เรื่อง Direct PPA โซลาร์ลอยน้ำ  เรามีอนาคตเรื่องการเป็นฐานการผลิตในเรื่องของการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ได้ หากปรับเปลี่ยนได้ทัน” นายเอกนิติ กล่าว

สำหรับโครงการการแก้หนี้ของเกษตรกร และการแก้หนี้ของเอสเอ็มอีนั้นขณะนี้กำลังหารือในรายละเอียดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยในการแก้ไขหนี้ของเอสเอ็มอีนั้นตอนนี้ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาตรการเงินที่เหลือจากกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน (FIDF) มาช่วยเอสเอ็มอี  รวมทั้งการใช้บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)และการปล่อยกู้ให้กับซัพพลายเชน เพื่อเร่งการจ่ายเครดิตเทอม และให้แรงจูงใจในเรื่องของการลดภาษี หรือให้เครดิตการจ่ายคืนภาษีเร็ว โดยทำคู่กับกลไกการจัดทำเรื่องของ Trans formation ของภาคธุรกิจ

สำหรับ โครงการช่วยเหลือเกษตรกร จะมีการดำเนินการในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน โดยเน้นที่หนี้ภาคเกษตร โดยปัจจุบันกำลังดูว่าจะแก้ไขในรูปแบบที่ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในอดีต หลักการสำคัญคือ จะไม่ให้เสียวินัย โดยจะนำหนี้ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ในอดีตออกมา ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งการลดต้น และลดดอกเบี้ย

หัวใจสำคัญคือ การช่วยเหลือพวกเขาด้วยการ เสริมทักษะ ให้ด้วย เพื่อไม่ให้กลับมาเป็น NPL อีกครั้ง เช่น การทำเกษตรสมัยใหม่ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านี้จะทยอยเข้า ครม.เศรษฐกิจ และครม.ต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์