‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ปักหลักลงทุนไทย ‘บีโอไอ’ ไฟเขียวแล้ว 38 โครงการ 4.6 แสนล้าน

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการดาต้าเซ็นเตอร์แล้วทั้งหมด 38 โครงการโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการอนุมัติมีมูลค่าการลงทุนรวม 4.6 แสนล้านบาท การลงทุนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค บีโอไอมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนโดยให้สิทธิ
KEY
POINTS
- คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการดาต้าเซ็นเตอร์แล้วทั้งหมด 38 โครงการ
- โครงการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการอนุมัติมีมูลค่าการลงทุนรวม 4.6 แสนล้านบาท
- การลงทุนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค
- บีโอไอมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนโดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแตกต่างกันตามที่ตั้งโครงการและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมทั้งการจ้างแรงงานคนไทย
ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ดาต้าเซ็นเตอร์ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีข้างหน้า ตามรายงานของ “Imarc group” ที่เผยแพร่ในเดือน พ.ย.นี้ระบุว่าขนาดตลาดศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะอยู่ที่ 494.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 9.29% ในช่วงปี 2025-2033 แรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตนี้คือความต้องการใช้บริการคลาวด์ โซลูชันจัดเก็บข้อมูล และ Edge Computing
นอกจากนี้ การเติบโตอย่างต่อเนื่องยังได้รับการสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น, การนำ Internet of Thing (IoT) มาใช้ และการขยายโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนทั่วโลก
ธุรกิจที่มีการเติบโตนี้ส่งผลมายังประเทศไทยเช่นกัน โดยพบว่า มีโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่ประกาศการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
สอดคล้องกับรายงานการวิจัยของ ศูนย์วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ระบุว่าจากการคาดการณ์คาดว่าในปี 2568-2570 รายได้รวมของอุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 7.5-8.5% ต่อปี จากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Transformation) ของหน่วยงานรัฐและองค์กรต่างๆ ซึ่งเน้นการประมวลข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ โดยมีแรงหนุนจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้ใช้งานหลักในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (IT & Telecommunication) และ อุตสาหกรรมการเงิน การธนาคาร และประกันภัย หรือ BFSI (Banking, Financial Services, and Insurance) โดยเฉพาะการลงทุนของต่างชาติที่มีแนวโน้มเข้ามามากขึ้นจากนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนการลงทุนในดาต้าเซนเตอร์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้นน้ำที่สำคัญรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่(S-curve industries)
เมื่อเร็วๆนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ได้อนุมัติโครงการลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ จำนวน 4 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนเกือบ 1 แสนล้านบาท เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค และสร้างความมั่นคงทางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ ประกอบด้วย
- บริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด โครงการ Data Center ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เงินลงทุน 7,550 ล้านบาท เป็นบริษัทในเครือ KDDI ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการลงทุน Data Center 45 แห่ง ในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก
- บริษัท วิสตัส เทคโนโลยี จำกัด โครงการ Data Center ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี เงินลงทุน 9,091 ล้านบาท เป็นบริษัทในเครือ ZDATA Technologies ประเทศสิงคโปร์ มีการลงทุน Data Center มากกว่า 30 แห่งทั่วโลก
- บริษัท เน็กซ์เจน ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด โครงการ Data Center ตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมของบริษัท นวนคร จังหวัดปทุมธานี เป็นโครงการระดับ Hyperscale เงินลงทุน 26,720 ล้านบาท
- บริษัท ซีนิท ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด โครงการ Data Center ตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมของบริษัท นวนคร จังหวัดปทุมธานี เป็นโครงการระดับ Hyperscale เงินลงทุน 54,853 ล้านบาท
ไฟเขียวลงทุน Data Center 4.58 แสนล้าน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอเปิดเผยว่า ปัจจุบันบีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้ประกอบการในกิจการ Data Center รวมทั้งสิ้น 38 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวม 458,000 ล้านบาท โดยมี IT Load รวม 2,066 เมกะวัตต์ (MW)
สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center นั้นปัจจุบันบีโอไอแบ่งการส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center แบ่งเป็น 2 ประเภทกิจการซึ่งมีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์แตกต่างกัน ได้แก่ 1) กิจการ Data Center ที่ใช้พลังงานประสิทธิภาพสูง และ 2) กิจการ Data Center อื่นๆ โดยมีรายละเอียดคือ
1.กิจการ Data Center ที่ใช้พลังงานประสิทธิภาพสูง มีข้อกำหนดที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนได้แก่ ต้องมี POWER USAGE EFFECTIVENESS (PUE) ไม่เกิน 1.3 ก่อนการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.ต้องเสนอแผนการบริหารจัดการการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม
3.ต้องเสนอแผนงานในการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานกำหนด ทั้งนี้ ต้องดำเนินการตามแผนที่เสนอให้แล้วเสร็จก่อนการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เช่น การจัดฝึกอบรม การจัดทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา การทำวิจัยและพัฒนา การพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการ SMEs ไทย การสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศ เป็นต้น
นอกจากนั้นต้องมีเงื่อนไขในการการจ้างงานบุคลากรไทยในตำแหน่งบริหารและ/หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนบุคลากรทั้งหมดในตำแหน่งดังกล่าว ภายในระยะเวลา 3 ปี ต้องจัดให้มีบริการ เช่น บริการรับฝากวาง คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (SERVER CO-LOCATION) บริการดูแลระบบ (MANAGED SERVICE) บริการ BACKUP เครื่อง SERVER ของลูกค้า บริการ DISASTER RECOVERY SERVICES (DRS) การให้บริการเช่าเครื่องแม่ข่ายสำหรับฝากวาง ข้อมูล (DATA HOSTING) เป็นต้น
นอกจากนั้นต้องมีการติดตั้งระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับกำลังการใช้ไฟฟ้าของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (IT LOAD) ไม่น้อยกว่า 2 MW ต้องมีระบบโทรคมนาคมหลักที่มีการวางสายสื่อสารแบบความเร็วสูงไปยังศูนย์กลางสื่อสารโทรคมนาคมทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 4 วงจร ทั้งนี้ ต้องเป็นวงจรในประเทศที่มีความเร็วไม่น้อยกว่า 10 Gbps ไม่น้อยกว่า 3 วงจร และมีความเร็วรวมของทุกวงจรไม่น้อยกว่า 60 Gbps
ต้องสามารถให้บริการได้ในขณะที่มีการซ่อมบำรุง หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบ (CONCURRENTLY MAINTAINABLE) ต้องมีระบบ ENGINE GENERATOR ที่เป็น CONTINUOUS RATING ที่รองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของ DATA CENTER พร้อมระบบสำรองในกรณี ENGINE GENERATOR ตัวหนึ่งตัวใดชำรุดหรือหยุดทำงาน
ต้องมีอุปกรณ์หรือระบบสำรองในอุปกรณ์ UPS, IT COOLING และ UPS COOLING โดยต้องทำงานในทันทีที่อุปกรณ์หลักหยุดทำงาน และไม่กระทบต่อการให้บริการ
ต้องมีเส้นทางสำรองในระบบส่งจ่ายไฟฟ้าที่ไม่ขึ้นต่อกัน (INDEPENDENT DISTRIBUTION PATHS)
ต้องมีระบบป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากความเสียหายกรณีที่อุปกรณ์ตัวหนึ่งตัวใดชำรุดหรือหยุดทำงาน ต้องมีระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมระบบสำรอง
ต้องมีระบบป้องกันอัคคีภัยทั่วพื้นที่
ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
ต้องได้รับมาตรฐาน ISO/IEC 27001 ด้าน DATA CENTER ก่อนการใช้สิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ให้สิทธิประโยชน์นอกพื้นที่ EEC สูงกว่า
สำหรับสิทธิประโยชน์ ที่จะได้รับเพื่อเป็นกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม จึงให้สิทธิประโยชน์แตกต่างกันดังนี้
- กรณีตั้งในพื้นที่ EEC ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี
- กรณีตั้งในพื้นที่อื่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
นอกจากนี้ จะได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี
2.กิจการ Data Center อื่นๆ เงื่อนไข
ไม่มีเงื่อนไข Power Usage Effectiveness (PUE) เหมือนกับ “กิจการ Data Center ที่ใช้พลังงานประสิทธิภาพสูง” เงื่อนไขที่เหลือเหมือนกัน
สิทธิประโยชน์ เพื่อเป็นกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม จึงให้สิทธิประโยชน์แตกต่างกันดังนี้
- กรณีตั้งในพื้นที่ EEC ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
- กรณีตั้งในพื้นที่อื่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี
นอกจากนี้ จะได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี







