2 นักเศรษฐศาสตร์ชี้ภาคการเงินไทย ถึงเวลาปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

2 นักเศรษฐศาสตร์ชี้ภาคการเงินไทย  ถึงเวลาปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

"พิพัฒน์" ชี้ ภาคการเงิน หัวใจเศรษฐกิจไทย ย้ำต้องโปร่งใส-เข้าถึงได้-เสถียรภาพแข็งแรง ด้าน ดร.สุทธาภา เปิดปัญหาเชิงโครงสร้างไทย ติดกับดักเงินแพง-หนี้พุ่ง ชี้ต้องเร่งสร้าง Ecosystem ใหม่ ลดอำนาจเบียดแข่งขัน เปิดทางสตาร์อัป หนุนแข่งขันที่ยุติธรรม

พรรคประชาธิปัตย์ จัดเสวนาหัวข้อ "ฟังจริง คิดจริง ทำจริง พลิกโฉม การเงินไทยในโลกใหม่ โจทย์ใหญ่ที่ต้องทำ" เพื่อรวบรวมความเห็นเชิงนโยบายการเงินที่เป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย Chief Economist กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ ฟังจริง คิดจริง ทำจริง พลิกโฉม การเงินไทยในโลกใหม่ โจทย์ใหญ่ที่ต้องทำ ว่า ภาคการเงินถือมีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจมักมีคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีเงินเหลือ กับกลุ่มที่ขาดเงิน 

แต่ทั้งนี้มีไอเดียต้องการใช้เงิน ภาคการเงินจึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งผ่านเงินจากคนที่มีเงินเหลือให้คนที่ขาดเงิน เพื่อนำไปลงทุน และสร้างผลตอบแทน โดยภาคการเงินมีตัวกลาง 2 รูปแบบ ได้แก่ ตัวกลางทางอ้อม เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน บริษัทเงินทุน ประกันภัย และตัวกลางทางตรง เช่น ตลาดทุน ตลาดหุ้น รวมถึง Crypto Exchange

สำหรับหน้าที่ภาคการเงินคือ การรวมทุนระดมเงินทุนจากแหล่งที่ถูกต้องไปใช้ในแหล่งที่ให้ผลประโยชน์สูงสุด และถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงการบริหารความเสี่ยง ประกันความเสี่ยงในระบบ ภาคการเงินที่ดีควรมี 5 ประเด็นหลัก คือ

1.ประสิทธิภาพ (Efficiency) แบ่งต้นทุนต่ำ ทำงานอย่างมีประสิทธิผล 

2.ความโปร่งใส (Transparency) ตรวจสอบได้ ป้องกันการฟอกเงิน 

3.เสถียรภาพ (Stability) สถาบัน และตลาดทุนสามารถทำงานต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

4.การเข้าถึงได้ (Access) ที่ทุกคนรวมถึงกลุ่มตัวเล็กต้องเข้าถึงภาคการเงินได้อย่างเท่าเทียม และ 5.ความยั่งยืน (Sustainability) สนับสนุนการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมสีเขียว และการพัฒนาอื่นๆ

ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ อดีต Chief Economist ธนาคารไทยพาณิชย์ และผู้ร่วมก่อตั้ง Abacus Digital กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัญหาในเชิงโครงสร้าง ยืนอยู่บนทางแยกที่อันตราย จำเป็นต้องมีการแก้ไข ซึ่ง นวัตกรรมด้านการเงินหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น Defi สินทรัพย์ Token Smart Contract กำลังท้าทายกรอบการดูแลแบบเดิมๆ ที่เราอยู่ 

รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ความผันผวนของเงินดอลลาร์ มีการแซงซั่นก์ รวมถึงหลายประเทศมองหาสกุลเงินเทรด ซึ่งไทยพร้อมหรือยังที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ที่ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ได้แก้ไขได้ด้วยมาตรการระยะสั้น ต้องแก้ในเชิงโครงสร้าง และมั่นใจว่าจะไปในทิศทางที่ชัดเจน

ประการที่ 1 เริ่มจากประเด็น Inclusive Capital Allocation หรือการเข้าถึงทางการเงินที่ปัญหาหลักต้องแก้ 2 ประการ คือ ภาคเศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีขนาดใหญ่ โดย World Bank ประเมินว่าเป็น 50% ของ GDP เป็นอันดับ 5 ของโลก กลุ่มนี้คือ SME และแหล่งเงินทุนนอกระบบ

ขณะที่ปกติมักพูดถึงหนี้ครัวเรือนในระบบเป็นหลัก แต่หนี้ทั้งหมดเป็นภูเขาน้ำแข็งมีทั้งเหนือ และใต้น้ำ หนี้ที่มองเห็นเป็นหนี้เหนือหน้า เราพยายามลดหนี้เหนือน้ำ แต่จริงๆ ส่วนใต้น้ำขยายใหญ่ขึ้น ธนาคารทั่วไปรัดกุมเรื่องสินเชื่อ ผู้ประกอบการที่จ่ายได้ปกติต้องไปหาหนี้นอกระบบซึ่งดอกเบี้ยสูงมาก อาจถึง 200% ต่อปี จึงต้องเข้าใจปัญหานี้ มาตรการช่วยเหลือที่เคยมีแก้ปัญหาชั่วคราวได้บ้าง เช่น คุณสู้เราช่วย ปิดไว้ได้ก่อน เป็นต้น ซึ่งอาจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ก็อาจทำลายวินัยการชำระหนี้ และกระทบคนที่จ่ายดีมาตลอด

 

ประการที่ 2 Efficiency หรือประสิทธิภาพเม็ดเงิน ที่ไม่ไหลเข้าสู่ภาคธุรกิจใหม่ซึ่งมีนวัตกรรมสูง แต่กลับไปไหลเข้าสู่ธุรกิจดั้งเดิม เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในฐานะผู้ก่อตั้ง Fintech Startup ประสบการณ์ 8 ปี พบว่าการระดมทุนยาก เนื่องจากนักลงทุนยังขาดความเข้าใจธุรกิจใหม่ มาตรวัดที่ใช้ยังถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจเดิม ส่งผลให้สตาร์ตอัปที่ดีต้องกลายเป็นนวัตกรรมต่างประเทศ 

ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ Exit Market ปัญหามากเวลาลงทุน นักลงทุนไม่ดูแค่ระยะเริ่มต้นดูว่าจบอย่างไร ตลาด Exit Market มีทั้งขายกิจการผ่าน M&A หรือการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศ ประเด็นคือ ตลาด Exit ไม่ได้แก้ปัญหา SME ที่มีนวัตกรรมใหม่ จึงเป็นการสร้างความเข้มแข็งแก่บริษัทใหญ่แทน

ดร.สุทธาภา กล่าวว่า สิ่งที่สองคือ การสร้าง Ecosystem ให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ดร.พิพัฒน์ พูดเรื่อง Growth Agent และนโยบายการคลังที่เป็นเครื่องมือหลักช่วยเรื่องการเติบโต แต่ระบบสำคัญกว่านั้น นโยบายการเงิน เช่น Inflation Targeting ใช้รับมือวิกฤติทางการเงินปี 2540 ซึ่งพื้นฐานเศรษฐกิจเวลานั้นแตกต่างจาก แต่วันนี้เข้าสู่ Digital Economy เต็มตัว อีกทั้งความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ต้องมีสกุลเงินเทรดใหม่ และเรากระโดดจาก Traditional สู่ Digital

“ต้องสร้างความพร้อม และความคุ้นเคยของผู้เล่นในตลาด เรามีปัญหาฟอกเงิน และการยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมค่อนข้างมาก ปัญหาเหล่านี้บั่นทอนศักยภาพการเติบโตทางการเงิน ปัญหาเรื่องนี้ต่างจากเรื่องเตรียมความพร้อม ต้องบริหารจัดการแยกกัน และไม่ควรปฏิเสธการเข้าร่วมธุรกรรมที่จะเป็น mainstream ตลาดโลก”ดร.สุทธาภา กล่าว

ดร.สุทธาภา กล่าว นโยบายรัฐควรมุ่งเน้นลดต้นทุนให้มากที่สุด และอธิบายว่าเรื่องขนาดใหญ่ของธุรกิจต้องดูที่การใช้ “abusive power” หรืออำนาจในการกีดกันการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันที่ดีที่สุดคือ การแข่งขันที่ยุติธรรม (Fair competition) รวมถึงการไม่ควรกีดกันผู้เล่นรายใหม่ เช่น Startup และการไม่ควรเพิ่มภาระด้วย Regulation ใหม่ที่มีต้นทุนสูง นอกจากนี้ควรการบังคับใช้กฎหมาย และกฎระเบียบควรเป็นไปอย่างเท่าเทียม และแฟร์ ไม่มีการเลือกปฏิบัติ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์