Data Center ได้ไม่คุ้มเสีย TDRI ชงรื้อนโยบายอุตสาหกรรมครั้งใหญ่

TDRI ผ่าทางตัน “โมเดลการพัฒนาไทย” ชี้นโยบายอุตสาหกรรมเดิมล้มเหลว แม้ยอด BOI แตะ 1 ล้านล้านบาท 3 ปีซ้อน เสนอรื้อนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ครั้งใหญ่ ยกเคส ลงทุนดาต้าเซนเตอร์ได้ไม่คุ้มเสีย เงินรั่วไหลไปกับการนำเข้า เสนอ 3 แนวทางพัฒนา 3 อุตสาหกรรมหลัก ทั้ง “FDI-อาหารสัตว์เลี้ยง-ท่องเที่ยวสุขภาพ”
KEY
POINTS
- TDRI เสนอให้รื้อนโยบายอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ เนื่องจากโมเดลเดิมที่พึ่งพาทุนต่างชาติ และแรงงานราคาถูกล้มเหลว ไม่สามารถสร้างความเข้มแข็งจากภายใน, ไม่ยกระดับทักษะคนไทย และทำให้คุณภาพชีวิตตกต่ำสวนทางกับเม็ดเงินลงทุน
- ชี้ว่าการลงทุนในดาต้าเซนเตอร์ (Data Center) เป็นตัวอย่างของนโยบายที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะแม้จะมีเม็ดเงินลงทุนมหาศาล แต่เงินรั่วไหลไปกับการนำเข้าเครื่องจักร, สร้างงานน้อยมาก, และใช้ทรัพยากรไฟฟ้า และน้ำมหาศาลเทียบเท่ากับประชากรจำนวนมาก
- เรียกร้องให้เปลี่ยนเป้าหมายนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ จากเดิมที่เน้นปริมาณการลงทุน และส่งออก ไปสู่การสร้าง “งานที่ดี” (Good Jobs) ที่มีรายได้ดี มั่นคง และพัฒนาทักษะคนไทยได้จริง
- โมเดลใหม่ต้องเน้นการ “สร้างคน สร้างนวัตกรรม และสร้างอุตสาหกรรมจากภายใน” โดยรัฐต้องเปลี่ยนเครื่องมือจากการลดหย่อนภาษีที่ไม่จูงใจ ไปสู่การพัฒนาทักษะแรงงาน และสนับสนุนนวัตกรรมให้ SME
- แนะให้กระบวนการของรัฐต้องมีการวิเคราะห์ความคุ้มค่า (Cost-Benefit) และประเมินผลอย่างจริงจังก่อนเลือกส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์จะตกถึงคนไทยอย่างแท้จริง และยั่งยืน
การลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ ถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างความคุ้มค่าของการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีของไทย กับผลตอบรับต่อประเทศในการสัมมนาประจำปีหัวข้อ “Reimagining Thailand's Development Model : ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ” ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2568 รวมถึงข้อเสนอการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยโมเดลใหม่
ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานว่าการลงทุน Data Center เข้ามาจำนวนมาก โดยช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.2568 มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุน ดังนี้
- กิจการ Data Center มูลค่าลงทุน 603,4621 ล้านบาท รวม 37 โครงการ
- กิจการ Cloud Service มูลค่าลงทุน 671 ล้านบาท รวม 2 โครงการ
ขณะที่ในช่วงปี 2565-2567 คำขอรับส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center และ Cloud Service รวม 27 โครงการ มูลค่าลงทุน 290,000 ล้านบาท
ดร.พุทธิพันธุ์ หิรัณยตระกูล นักวิชาการ TDRI กล่าวในหัวข้อ “นโยบายอุตสาหกรรมใ หม่เพื่อสร้างการเติบโต” ว่า นโยบายอุตสาหกรรมใหม่ คือ เครื่องมือสำคัญที่รัฐใช้แทรกแซงตลาดเพื่อยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจและสร้าง Good Jobs
แต่ไทยต้องมีโมเดลพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่เร่งด่วน เพราะโมเดลเดิมพึ่งทุนต่างชาติและแรงงานราคาถูกไม่เพิ่มขีดความสามารถคนไทยได้ และไม่ตอบโจทย์บริบทเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
ทั้งนี้ แม้ไทยลงทุนเติบโตโดย BOI รับส่งเสริมการลงทุนระดับ 1 ล้านล้านบาท ติดต่อกัน 3 ปี แต่คุณภาพชีวิตคนไทยมีคุณภาพชีวิตตกต่ำ และถดถอยจากภาวะ “หนี้ครัวเรือน” พุ่งสูงถึง 86.3% ขณะที่เด็กจบใหม่อายุ 20-24 ปี เป็นกลุ่มหางานยากที่สุด และจำนวน SME ที่อยู่รอดเกิน 3 ปีลดต่อเนื่อง สะท้อนความล้มเหลวของโมเดลการเติบโตเดิมที่ไม่สร้างความเข้มแข็งจากภายใน
รวมทั้งนโยบายอุตสาหกรรมล้มเหลวไม่สร้างคน-ไม่สร้าง SME-ไม่นำนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ โดยช่องว่างทางเศรษฐกิจไทยเกิดจากนโยบายอุตสาหกรรมในอดีตที่ไม่สร้างฐานภายในให้แข็งแรง ไทยดึงการลงทุนต่างชาติเป็นฐานการส่งออกได้ แต่เชื่อมโยง SME เข้าห่วงโซ่มูลค่าสูงไม่ได้ โดยระบบทักษะแรงงานไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย และนวัตกรรมไทยไม่ถูกต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ แม้ไทยยังดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แต่กิจกรรมมูลค่าสูงกลับไม่เกิดขึ้นในประเทศ เช่น Qualcomm ที่ตั้งบริษัทในไทยเพื่อการตลาด และสนับสนุนเทคนิคเท่านั้น ขณะที่งานวิจัย และพัฒนาชิปกลับทำในเวียดนาม
ขณะเดียวกัน ดัชนีการผลิตในประเทศกลับทรุดตัวอย่างช้าๆ สวนทางกับการนำเข้า-ส่งออกที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องจากฐานปี 2018 สัญญาณนี้ชี้ว่าไทยกำลังกลายเป็นเพียง “ทางผ่านสินค้า” โดยไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มมากพอภายในประเทศ
โมเดลเดิมเน้นปริมาณไม่สร้างศักยภาพ
นอกจากนี้ โมเดลเดิมวัดความสำเร็จจากปริมาณผลผลิตในประเทศ และการส่งออก โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจมหภาคแข็งแรงจะทำให้ความมั่งคั่งไหลลงสู่ฐานรากเอง แต่ความเหลื่อมล้ำยังสูง และคนไทยไม่มีทักษะดีขึ้นตามการเติบโตเศรษฐกิจ อีกทั้งมาตรการสนับสนุนไม่ตอบโจทย์โลกใหม่ และลดหย่อนภาษีไม่ได้จูงใจลงทุน โดยมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมหลักยัง “ไม่ทำให้คนไทยเก่งขึ้น” อาทิ
1.อุตสาหกรรมไฮเทค ใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเป็นหลัก แต่ไม่สร้างทักษะ และไม่ดึง SME เข้าระบบ
2.ภาคเกษตร มีการพึ่งการประกันรายได้ และการเยียวยาจนลดแรงจูงใจในการพัฒนาผลิตภาพ
3.ภาคท่องเที่ยว เน้นการตลาด แต่ยังขาดการยกระดับมาตรฐานแรงงาน
ทั้งนี้ การศึกษาของ รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบการลดหย่อนภาษีไม่เพิ่มแรงจูงใจลงทุนใหม่อย่างมีนัยสำคัญ และระเบียบโลกใหม่อย่าง Global Minimum Tax 15% จะทำให้ไทยเสียความได้เปรียบด้านภาษี และอาจทำให้รายได้ภาษีไหลออกสู่ต่างประเทศ ดังนั้นไทยต้องเร่งปรับไปสู่โมเดลสร้างคน สร้างนวัตกรรม และสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน
ชี้ลงทุนดาต้าเซนเตอร์ได้ไม่คุ้มเสีย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมักเลือกอุตสาหกรรมใหม่โดยขาดการศึกษาความเป็นไปได้ที่ลึกซึ้ง ทำให้ผลประโยชน์ต่อคนไทยไม่ชัดเจน เช่น
1.อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มุ่งเป็นศูนย์กลางผลิต-ส่งออก แต่ไม่มีนโยบายช่วยผู้ผลิตไทยอย่างจริงจัง ขาดการศึกษาความพร้อมของผู้ผลิตชิ้นส่วน
2.เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แต่ไม่มีการประเมินความคุ้มค่า และผลกระทบด้านลบ ทั้งปัญหาฟอกเงิน และการเสพติดพนัน
ทั้งนี้ หากคิดแบบเดิมต่อให้มีอุตสาหกรรมใหม่อาจ “ได้ไม่คุ้มเสีย” จากกรณีศึกษา Data Center ที่ลงทุนมหาศาล แต่คนไทยได้อะไรจากการลงทุน แม้จะได้รับส่งเสริมการลงทุนสูงสุด 2 ปีซ้อน แต่เงินลงทุนจำนวนมากกำลัง “รั่วไหล” ไปกับการนำเข้าเครื่องจักร และระบบสำคัญ เช่น GPU, ระบบทำความเย็น และอุปกรณ์ความปลอดภัยไซเบอร์
สำหรับการสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ 100 MW ลงทุนสูง 33,000 ล้านบาท โดยต้องให้สิทธิประโยชน์มากแต่เงินรั่วไหลไปกับเครื่องจักรนำเข้า โดยมีผู้ดูแลระบบ 50 คน ขณะที่การใช้ไฟฟ้าต่อปี 1,140 GWh ใช้ไฟฟ้าทับกับ 1.3 ล้านคน รวมถึงการใช้น้ำต่อปี 2,550 ล้านลิตร ใช้น้ำเท่ากับ 35,000 คน
“หากไม่มีแผนดึงธุรกิจไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น AI หรือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ไทยอาจได้ผลประโยชน์ต่ำกว่าคาด และอาจกระทบการใช้ทรัพยากรอุตสาหกรรมอื่นหรือชุมชนรอบข้าง ดังนั้น โมเดลใหม่ต้องสร้างคน สร้างนวัตกรรม และสร้างอุตสาหกรรมจากภายใน”
ดร.พุทธิพันธุ์ กล่าวว่า การพัฒนานโยบายอุตสาหกรรมใหม่ของไทย ไม่ควรมองเพียงความทันสมัยหรือเม็ดเงินลงทุนสูง แต่ต้องพิจารณาว่า ผลประโยชน์จะตกกับคนไทยอย่างไร และจะสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยกระดับทักษะ เสริม SME เพิ่มผลิตภาพ ตอบโจทย์โลกใหม่ได้อย่างไร
“โจทย์ของไทยจึงไม่ใช่การไล่ตามอุตสาหกรรมทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่คือ การสร้างความแข็งแกร่งภายใน เพื่อให้การเติบโตในอนาคตเป็นการเติบโตที่คนไทยได้ประโยชน์จริงแท้ และยั่งยืน”
อุตสาหกรรมเดิมเน้นวัดผลด้วยปริมาณ
ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ TDRI กล่าวว่า ไทยต้องเร่งปรับทิศทางนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ครั้งใหญ่ โดยต้อง “เปลี่ยนเป้าหมาย-ปรับเครื่องมือ-พัฒนากระบวนการ” ให้การพัฒนาเศรษฐกิจนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจริง และทั่วถึงสำหรับประชาชน
รวมทั้งที่ผ่านมาไทยมักใช้นโยบายอุตสาหกรรมที่วัดผลด้วยตัวเลขเชิงปริมาณ เช่น มูลค่าการส่งออก การลงทุนใหม่ หรือจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ในโลกยุคใหม่ รัฐควรให้ความสำคัญกับการสร้าง “งานที่ดี” (Good Jobs) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้คนไทยโดยตรง
ทั้งนี้ งานที่ดีคือ กลไกสำคัญในการเพิ่มรายได้ และยกระดับโอกาสของคนไทย โดยงานดังกล่าวต้องมีค่าตอบแทนเพียงพอมีความมั่นคง และเป็นบันไดพัฒนาทักษะสูงขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการเติบโตประเทศยั่งยืน เพราะที่ผ่านมาไทยมักใช้มาตรการภาษี เป็นเครื่องมือหลัก แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ SME ที่จ่ายภาษีน้อย การให้สิทธิประโยชน์จึงไม่จูงใจ
สำหรับกระบวนการทำงานของรัฐมักขาดขั้นตอนสำคัญ ได้แก่
1.การวิเคราะห์ความคุ้มค่า (Cost–Benefit) ต้องคำนึงถึงทั้งผลประโยชน์ต่อคนไทย ต้นทุนงบประมาณ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2.การติดตาม และประเมินผล (Monitoring & Evaluation) เพื่อให้สามารถปรับปรุงหรือยกเลิกนโยบายที่ไม่เวิร์ก
3.การบูรณาการหน่วยงานรัฐ-เอกชน เช่น BOI ประสานงานสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือภาคอุตสาหกรรมที่รู้โจทย์จริง
ชงโมเดลทางรอด 3 กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่
นอกจากนี้ ข้อเสนอเชิงลึกสำหรับ 3 กลุ่มอุตสาหกรรม แบ่งเป็น
1.กลุ่มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมแผงวงจรพิมพ์ (PCB) และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง โดยไทยขึ้นแท่นท็อป 5 ฐานผลิต PCB โลก ซึ่ง BOI เผยยอดลงทุนแตะ 2 แสนล้านบาท ถือเป็นโอกาสทอง
แต่อดีตมักดึงลงทุนด้วยการยกเว้นภาษี ซึ่งมีต้นทุนสูง และไม่ยั่งยืน ดังนั้น ควรเน้นพัฒนาแรงงานทักษะสูง ดึงดูดการผลิตมูลค่าสูง เจรจาเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ตามการสร้าง Good Job จำกัดการยกเว้นภาษีเฉพาะกรณีจำเป็น โดยมีเป้าหมายให้แรงงานไทยอยู่ในตำแหน่งงานมูลค่าสูงในห่วงโซ่โลก
2.กลุ่มลงทุนภายในประเทศ (DDI) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีศักยภาพสูง และเป็นผู้นำโลกด้านการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง แต่ที่ผ่านมาเน้นมาตรการภาษีที่เอื้อบริษัทใหญ่เป็นหลัก
ดังนั้น จึงเสนอให้เพิ่มการส่งเสริมด้านการวิจัย-นวัตกรรม และพัฒนาแบรนด์ไทย หนุน SME เข้าถึงเทคโนโลยีผ่านคูปองนวัตกรรม และการพัฒนาห่วงโซ่วัตถุดิบที่เชื่อมโยงเกษตรกรไทย เพื่อสร้าง Good Jobs และเพิ่มกำไรให้ผู้ประกอบการไทย
3.กลุ่มบริการ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ปัจจุบันไทยเน้นการตลาด แต่ขาดนโยบายด้าน “อุปทาน” เช่น การพัฒนาบุคลากรวิชาชีพ ดังนั้นควรเร่งผลิตบุคลากรด้านสุขภาพเฉพาะทาง เช่น นักกายภาพบำบัด ยกระดับมาตรฐานบริการสุขภาพ วางมาตรการป้องกันบุคลากรภาครัฐไหลออกสู่ภาคเอกชน ซึ่งไทยมีศักยภาพสร้างรายได้ และงานบริการคุณภาพสูงให้คนไทยจำนวนมาก
“คำถามสำคัญไม่ใช่เพียงว่าไทยควรหา Growth Engine ตัวใหม่อะไร แต่ไทยต้องทำอย่างไรให้ได้มาซึ่ง Growth Engine นั้น โดยมีนโยบายอุตสาหกรรมเป็น “แผนที่นำทาง” ที่จะพาประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีงานดี รายได้มั่นคง และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึง”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







