กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ไม่ใช่ กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค

อยากตะโกนดังๆ ให้ได้ยินกันทั่วว่า “กฎหมายการแข่งขันทางการค้าไม่ใช่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค!” แม้สองกฎหมายนี้จะมีจุดมุ่งหวังในผลลัพธ์ที่คล้ายกัน คือ ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด แต่เจตนารมณ์อันแท้จริงของทั้งสองกฎหมายนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
กฎหมายการแข่งขันทางการค้า เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นและดูแลผู้ประกอบธุรกิจในทุกระดับเป็นหลัก เป็นกฎหมายที่ใช้กำกับดูแลการกระทำและพฤติกรรมทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบธุรกิจด้วยกัน เพื่อให้เกิดกระบวนการแข่งขันทางธุรกิจที่เป็นธรรม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ในขณะที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการบริโภคสินค้าและบริการ รวมถึงยังช่วยในการแก้ไขเยียวยาและชดเชยความเสียหายให้กับประชาชนผู้ที่อยู่ในสถานะผู้บริโภคในกรณีนั้นๆ
หากเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพระหว่างการทำงานในด้านการกำกับดูแลของกฎหมายการแข่งขันทางการค้าและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค อาจใช้การแข่งขันกีฬาในสนามแข่งขันเป็นการอธิบายได้ กล่าวคือ
หน้าที่ของกฎหมายการแข่งขันทางการค้า คือ การกำกับดูแลให้นักกีฬาหรือผู้แข่งขันทุกคนที่แข่งขันกัน ไม่ว่านักกีฬาคนนั้นจะตัวใหญ่หรือตัวเล็ก ต่างต้องแข่งขันกันภายใต้กฎ กติกาเดียวกัน ผู้แข่งขันคนไหนที่เล่นนอกเกมหรือนอกกฎ กติกาที่วางไว้ จำต้องถูกกล่าวโทษ
ในขณะที่หน้าที่ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค คือ คุ้มครองสิทธิของผู้ชมการแข่งขัน เช่น ผู้ชมย่อมต้องได้รับการชดเชยค่าเสียหายหากการแข่งขันกีฬานั้นถูกยกเลิกด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามที่มิได้ระบุหรือแจ้งไว้อย่างชัดเจนล่วงหน้า หรือ การควบคุมป้ายโฆษณาตามขอบสนาม จะต้องไม่เป็นการโฆษณาเกินจริงจนสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้ชม เป็นต้น
ดังนั้น หากมีการนำทั้งสองกฎหมายนี้มาผสมผสานรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ก็คงไม่ต่างจากการให้กรรมการซึ่งถือเป็นตัวแทนของกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ต้องถือป้ายโฆษณาวิ่งไปด้วยในขณะที่กำกับดูแลผู้แข่งขัน
หรือคงไม่ต่างจากการให้ผู้ควบคุมผู้ชมซึ่งถือเป็นตัวแทนของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ต้องลงสนามเป่านกหวีดคอยกำกับดูแลผู้แข่งขันในสนามในเวลาเดียวกันด้วย
ไม่อาจปฏิเสธว่า แนวคิดพื้นฐานของกฎหมายการแข่งขันทางการค้าและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค นั้นต่างกันค่อนข้างชัดเจน
เช่น การลดลงของราคาสินค้าหรือบริการ ในเบื้องต้นย่อมส่งผลกระทบทางบวกต่อผู้บริโภค แต่สำหรับกฎหมายการแข่งขันทางการค้าแล้ว อาจไม่ใช่ผลกระทบทางบวกเสมอไป เพราะระดับราคาขายที่ลดลงนั้น ต้องพิจารณาว่า ต่ำกว่าต้นทุนของสินค้าหรือบริการหรือไม่
ซึ่งถ้าต่ำกว่า ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 นอกเสียจากจะมีเหตุผล ในทางธุรกิจหรือทางเศรษฐศาสตร์อันสมควร
ในช่วงระยะเวลานี้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง แก้ไขซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการของรัฐสภา โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างมีเจตนาที่ดี และอยากพัฒนาด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
แต่มิอาจปฏิเสธได้ว่า เพียงเจตนาที่ดีอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ หากแต่จำต้องมี “ความเข้าใจในเจตนารมณ์อันแท้จริงของกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ถูกต้องด้วย”
ดังนั้น การคำนึงถึง “ความเสียหายของผู้บริโภค” เป็นหลักโดยนำเรื่องดังกล่าวนี้ผนวกเข้าไว้ในบางมาตราของกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ย่อมเป็นการทำลายความชัดเจนและเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย
และที่สุดแล้วย่อมสร้างความสับสนให้กับทั้งผู้บังคับและถูกบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
อีกหนึ่งสิ่งที่น่ากังวลใจก็คือ การพยายามจะหยิบยกเอาแนวคิดจากต่างประเทศมาบรรจุในกฎหมายไทย โดยมิได้พิจารณาบริบทของประเทศนั้นให้ครบถ้วน เช่น การอ้างอิงว่าประเทศ ก. ใช้รูปแบบนี้แล้ว ผู้บริโภคได้ประโยชน์ จึงอยากนำมาใช้กับประเทศไทยบ้าง
โดยมิได้คำนึงและตรวจสอบให้ละเอียดว่า ประเทศนั้นมีกฎหมายการแข่งขันทางการค้า กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในรูปแบบใด รวมถึงกลไกต่างๆ ในการบังคับใช้กฎหมายเป็นเช่นไร
การหยิบมาเพียงบางส่วนที่ถูกใจ แล้วนำมาประกอบเข้ากับบริบทของไทย โดยไม่ดูโครงสร้างทั้งหมด ก็อาจไม่ต่างจากการต่อจิ๊กซอว์คนละกล่อง ซึ่งแน่นอนว่า ต่อเท่าไหร่ก็ไม่ลงล็อก และสุดท้ายอาจคลาดเคลื่อนจากเจตนารมณ์อันแท้จริงของกฎหมาย
ดังนั้น หากใช้ความ “ความเข้าใจผิด” นำทางในการปรับปรุงกฎหมาย กฎหมายฉบับใหม่อาจกลายเป็นผลงานชิ้น “โบว์ดำ” แทน “โบว์แดง” ก็เป็นได้
กล่าวโดยสรุป กฎหมายการแข่งขันทางการค้ามิใช่กฎหมายที่มุ่งปกป้อง คุ้มครองผู้บริโภคโดยตรงแต่คือกฎหมายที่มุ่งกำกับดูแลให้ผู้ประกอบธุรกิจในทุกระดับ ดำเนินการแข่งขันทางธุรกิจอย่างเป็นธรรม และสิ่งนี้จะเป็น “การคุ้มครองผู้บริโภค” ในระยะยาวและยั่งยืน เพราะการแข่งขันที่เป็นธรรมต่างหาก คือเกราะป้องกันผู้บริโภคที่ทรงพลังที่สุด







