'อัครา' ชี้ผลิตทองคำไทยต่ำกว่าอุปสงค์ หนุนรัฐสำรวจแร่หายาก

"อัครา รีซอร์สเซส" ชี้ผลิตทองคำไทยยังต่ำกว่าอุปสงค์มหาศาล หนุนเร่งสำรวจแร่หายาก-ลุยขยายบ่อเหมืองเพิ่มผลผลิต
KEY
POINTS
- "เชิดศักดิ์" เผยว่ากำลังการผลิตทองคำของไทยอยู่ที่ราว 4 ตันกว่าต่อปี ซึ่งต่ำกว่าความต้องการในประเทศที่สูงถึง 400-500 ตันต่อปี หรือน้อยกว่า 100 เท่า โดยทรัพยากรทองคำมีจำกัด และในอนาคตอาจมีโลหะอื่นเข้ามาทดแทนทองคำบางส่วนได้
- สนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับ “แร่หายาก” (REEs) โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจให้ประเทศ
- เน้นย้ำว่าขั้นตอนแรกที่จำเป็นที่สุดคือการ “สำรวจอย่างละเอียด” เพื่อให้ทราบว่าไทยมีแร่หายากชนิดใด ปริมาณเท่าใด และอยู่ที่ใดบ้าง
- ระบุว่ากฎหมายแร่ของไทยมีมาตรฐานเพียงพอ ไม่ได้เปิดช่องให้เกิดการ "ขายชาติ" และการแต่งแร่หายากหลายชนิดสามารถทำได้ด้วยวิธีทางกายภาพซึ่งไม่ส่งผลกระทบที่น่ากังวล
อุตสาหกรรมทองคำในปัจจุบันกำลังเผชิญกับ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้งานทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย การใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการลงทุนของรัฐบาลหลายประเทศที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ภาคการทำเหมืองทองคำทั่วโลกกำลังเจอความท้าทายใหม่ ทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น คุณภาพสินแร่ที่ลดลง รวมถึงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้วยเทคโนโลยีใหม่และแนวคิดการทำเหมืองที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น
ในหลายประเทศ การทำเหมืองทองคำไม่เพียงเป็นแหล่งรายได้สำคัญ แต่ยังเชื่อมโยงกับประเด็นเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่การใช้ทรัพยากร การบริหารจัดการของเสีย จนถึงผลกระทบต่อชุมชน การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงกลายเป็นกติกาใหม่ของอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการต้องพิสูจน์ว่าการทำเหมืองยุคใหม่สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้ พร้อมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจและรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตทองคำของไทย พร้อมสะท้อนภาพรวมศักยภาพแร่ธาตุสำคัญของประเทศ โดยเน้นย้ำความจำเป็นของการสำรวจแร่หายาก (REEs) อย่างจริงจังเพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจไทย
กำลังผลิตทองคำต่ำกว่าความต้องการกว่า 100 เท่า
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันอัคราฯ มีกำลังการผลิตทองคำราว 4 ตันกว่าต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการใช้ทองคำในประเทศที่สูงถึง 400–500 ตันต่อปี แม้สัดส่วนผลิตจะไม่มาก แต่ทองคำที่ผลิตในประเทศมีประโยชน์สำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม
สำหรับทองคำในอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย ซึ่งมีความบริสุทธิ์ 96.5% จะต้องผสม “เงิน” ประมาณ 3.5% เพื่อเพิ่มความแข็งแรง หากใช้ทองคำบริสุทธิ์ 99.99% จะทำให้เครื่องประดับบิดเบี้ยวได้ง่าย
แร่ทองคำโลกจำกัด-ต้องพึ่งโลหะทดแทน
อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรทองคำเป็นทรัพยากรจำกัด แม้ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้สามารถผลิตจากแหล่งที่มีเกรดต่ำลงได้ แต่ท้ายที่สุดปริมาณแร่ก็ขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่มีอยู่จริง จึงมีโอกาสที่อนาคตอาจเห็นโลหะอื่นเข้ามาทดแทนทองคำบางส่วน เช่นที่อลูมิเนียมหรือโลหะผสมเคยเข้ามาแทนดีบุกในอดีต
นอกจากนี้ “เงิน” แม้จะมีราคาเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถทดแทนทองคำได้ทั้งหมด ทว่าเงินยังมีบทบาทในตลาดของตัวเอง ทั้งในอุตสาหกรรมเครื่องประดับราคาย่อมเยา งานศิลปะ และในฐานะวัตถุดิบโลหะในหลายภาคอุตสาหกรรม
เดินหน้าขยายความลึกบ่อเหมือง
นายเชิดศักดิ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนขยายการทำเหมือง โดยบริษัทขออนุญาต “ขยายความลึกของบ่อเหมือง” ภายในพื้นที่ประทานบัตรเดิม ไม่มีการขอพื้นที่ใหม่ โดยทั้งหมดผ่านขั้นตอนการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการกลั่นกรองจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ตั้งแต่ ต.ค. 2568 แล้ว
ปัจจุบัน แผนอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อคำนวณ “ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษต่อรัฐ” (Special Benefit Royalty) จากการขยายการผลิต ซึ่งคาดว่าบริษัทต้องจ่ายเพิ่มราว 30 ล้านบาท
“ขั้นตอนการคำนวณใกล้เสร็จสมบูรณ์ และมีโอกาสที่การอนุมัติจะทันภายในปี 2568 ทุกฝ่ายต้องทำงานอย่างรอบคอบเพราะเกี่ยวข้องกับบริษัทอัคราฯ”
ทั้งนี้ ในฐานะผู้ผลิตแร่ทองคำ อัคราฯ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศรวมกว่า 7.7 พันล้านบาทต่อปี สร้างการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในพื้นที่สามจังหวัดรอบเหมืองกว่า 1,000 ตำแหน่ง และแม้อัคราจะเป็นผู้ผลิตทองคำรายเดียวของประเทศ แต่บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนสู่รัฐในรูปแบบค่าภาคหลวงติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทั้งหมด สะท้อนบทบาทหลักของอุตสาหกรรมทองคำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง
ชูรัฐบาลเดินมาถูกทาง เร่งสำรวจ "แร่หายาก"
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับ “แร่หายาก” ถือเป็นก้าวสำคัญ โดยขั้นตอนแรกที่จำเป็นที่สุดคือการ “สำรวจอย่างละเอียด” เพื่อทราบว่าไทยมีแร่หายากชนิดใด จำนวนเท่าใด และอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลชัดเจน
ทั้งนี้ จากข้อมูลธรณีวิทยาที่มีอยู่ แร่หายากมักพบในพื้นที่แหล่งแร่ดีบุกและวุลแฟรมเดิม ตามแนวเทือกเขาตะวันตกของไทย ตั้งแต่แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ตาก ยาวลงถึงภาคใต้
อย่างไรก็ตาม กฎหมายแร่ไทยมีมาตรฐานเพียงพอ ไม่ได้เปิดช่องให้ “ขายชาติ” ตามที่ถูกกังวล อีกทั้ง การแต่งแร่หายากหลายชนิดไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีรุนแรง เพราะสามารถแยกด้วยวิธีฟิสิกส์ เช่น โต๊ะสั่น แม่เหล็กไฟฟ้า หรือการแยกตามความหนาแน่น จึงไม่ก่อผลกระทบดังที่ถูกตั้งข้อสงสัย
“ประเทศไทยควรได้เริ่มต้นสำรวจเพื่อประเมินศักยภาพก่อน ถ้าพบว่ามีปริมาณมากก็เดินหน้า แต่ถ้าไม่มี ก็ยุติได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าปิดกั้นตัวเอง ต้องทำงานร่วมกันในรูปแบบ ‘ทีมไทยแลนด์’ หากอยากให้ประเทศก้าวหน้า”
ภาพรวมทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “อุตสาหกรรมทองคำวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน” และการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นจะกำหนดอนาคตของการผลิตทองคำในระดับโลก รวมถึงบทบาทของแต่ละประเทศในห่วงโซ่อุปทานทองคำต่อไป







