สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกช่วงปลายปี เผชิญแรงกดดันหลายด้าน

สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกช่วงปลายปี เผชิญแรงกดดันหลายด้าน

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกช่วงปลายปี ยังคงมีแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

สถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ยังคงมีแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในตะวันออกกลาง และรัสเซียขยูเครน ที่ยังคงมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยในเดือนตุลาคม 2568 ราคาน้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวในกรอบ 61-66 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่ที่ 57-62 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล  ส่วนราคาน้ำมันดิบช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 จะเคลื่อนไหวในกรอบ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ท่ามกลางความกังวลว่า ตลาดอาจยังไม่เข้าสู่ภาวะสมดุลในเร็วๆ นี้

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน คือ OPEC+ มีมติเพิ่มโควตาการผลิตน้ำมันดิบอีก 137,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เพื่อทยอยคืนกำลังผลิตที่เคยลดโดยสมัครใจ ส่งผลให้ตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤศจิกายน 2568 เพิ่มกำลังการผลิตเกือบ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน นำไปสู่ภาวะ Oversupply ในตลาดโลก

ขณะเดียวกันการที่อิรักกลับมา ส่งออกน้ำมัน ผ่านท่อ Kirkuk (คิร์คุก) –Ceyhan (เจย์ฮาน) อีกครั้งในรอบกว่า 2 ปี อยู่ที่ 180,000-190,000 บาร์เรลต่อวัน และมีแผนเพิ่มเป็น 230,000 บาร์เรลต่อวัน เป็นอีกปัจจัยที่กดดันต่อราคาน้ำมัน  ในขณะที่สถานการณ์ตะวันออกกลางยังเปราะบาง แม้จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะแรกระหว่างอิสราเอลและฮามาส เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2568 แต่ยังเกิดเหตุปะทะในฉนวนกาซา โดยกองทัพอิสราเอลประกาศว่าการหยุดยิงกลับมามีผลบังคับใช้อีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาดูสงครามระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อ โดยสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันแห่งชาติรายใหญ่ของรัสเซีย ได้แก่ Rosneft (รอส-เนฟต์) และ Lukoil (ลูคอยล์) เพื่อกดดันให้เจรจายุติสงครามกับยูเครน รวมถึงคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันหลายแห่งของจีน เพื่อกดดันให้เลิกซื้อน้ำมันของรัสเซีย ส่งผลให้ทั้งจีนและอินเดียประกาศลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังเปราะบาง จาก Government Shutdown ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ส่งผลให้มีการปลดพนักงานภาครัฐเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ส่วนของข้อตกลงทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ มีความคืบหน้า โดยจีนประกาศชะลอการควบคุมการส่งออกแร่ Rare Earth ไปอีก 1 ปี