EEC โอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน

EEC โอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ  ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน

การลงทุน Data Center ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ ผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำของโลก

ที่เข้ามาลงทุน Data Center ในพื้นที่ EEC มีเป้าหมายที่จะบรรลุ Net Zero emission ในช่วงปี 2573-83 ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มากขึ้นแล้ว ยังนำไปสู่ความต้องการระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : ระบบ BESS) เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับ Data Center ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ปัจจุบัน ผู้ประกอบการใน EEC ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี มีการใช้เทคโนโลยี IoT ในการติดตามการทำงานของเครื่องจักรแบบ Real Time เพื่อปรับปรุงหรือลดการซ่อมบำรุงบ้างแล้ว และมีแนวโน้มที่จะใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งจัดเก็บและประมวลข้อมูลจากการใช้ IoT ในระบบคลาวด์มากขึ้นในระยะข้างหน้า ผนวกกับระบบโทรคมนาคมที่สามารถให้บริการ 5G คลอบคลุมพื้นที่ EEC ได้ทั้งหมด ทำให้องค์กรต่างๆใน EEC สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว จากปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ให้บริการ Data Center และระบบ Cloud ชั้นนำของโลก เช่น Amazon SUPERNAP TikTok และ CtrlS แสดงความสนใจในการลงทุนพัฒนา Data Center ใน EEC มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ใน EEC มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คาดว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ใน EEC จะเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 เมกะวัตต์/ปี ( 43,800 ล้านหน่วยไฟฟ้า/ปี) ในปี 2574 ซึ่งหากผู้ให้บริการ Data Center ที่เข้ามาลงทุนใน EEC หันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในการดำเนินการ Data Center ย่อมส่งผลให้ความต้องการติดตั้งระบบ BESS ของ Data Center ใน EEC เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

Krungthai COMPASS ประเมินว่า หาก Data Center ใน EEC หันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดในปี 2574 จะส่งผลให้ความต้องการติดตั้งระบบ BESS เพื่อลดความผันผวนของไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของ Data Center ใน EEC อยู่ราว 521 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาระบบ BESS ราว 1.46 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2573-74 โดยการประเมินนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าผู้ลงทุนใช้เวลาในการก่อสร้างระบบ BESS ราว 1 ปี และใช้เงินลงทุนเฉลี่ยอยู่ราว 28.1 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2573-74 ซึ่งลดลง 19% จากปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ National Renewable Energy Laboratory (NREL) รวมทั้งเลือกลงทุนระบบ BESS ที่สามารถกักเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ 2.5 ชั่วโมง/วัน

ความต้องการติดตั้งระบบ BESS ของ Data Center ใน EEC ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลให้ผู้ลงทุนระบบ BESS ในพื้นที่ดังกล่าวมีความต้องการใช้บริการและซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการ (suppliers) ในไทย ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการพัฒนาระบบ BESS มากขึ้นตาม โดยคาดว่าความต้องการดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานระบบ BESS ราว 1.32 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2573-74 โดยธุรกิจที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ราว 6.95 พันล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ Supplier ในไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานระบบ BESS สามารถเพิ่มโอกาสที่จะเข้ามาจัดจำหน่ายและให้บริการติดตั้งส่วนประกอบต่างๆ ให้กับผู้ลงทุนระบบ BESS ใน EEC โดยการจำหน่ายสินค้าของแบรนด์ชั้นนำที่มีมาตราฐานสากล อย่าง IEC 62109 IEC 60076 ISO 9001 และ ISO 14001 เช่น CATL BYD ABB SUNGROW และ Siemens อีกทั้งยังควรมีประสบการณ์ในการให้บริการแก่โรงไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าแรงสูง เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชน ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้ลงทุนระบบ BESS รายใหญ่ใน EEC มักเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านประสิทธิภาพของระบบ BESS และ ความปลอดภัยแก่สาธารณชน