ย้อนรอยคดีภาษีหุ้นชิน 20 ปี บทสรุป 'ทักษิณ' อัศวินคลื่นลูกที่ 3

“ทักษิณ” เจ้าของฉายาอัศวินคลื่นลูกที่ 3 ที่สร้างธุรกิจหมื่นล้านในช่วงปี 2530-2540 ก่อนเข้าสู่การเมือง ทำให้ต้องโอนและขายหุ้น และนำมาสู่มหากาพย์คดีภาษีหุ้นชินที่ยืดเยื้อมา 20 ปี
KEY
POINTS
- คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปเกิดจากการที่นายทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นผ่านบริษัทแอมเพิล ริช และบุตรทั้งสอง เพื่อให้ได้ประโยชน์ทางภาษีจากการขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็ก
- กรมสรรพากรเคยประเมินภาษีกับบุตรทั้งสอง แต่ศาลเพิกถอนเพราะชี้ว่านายทักษิณเป็นเจ้าของที่แท้จริง ต่อมาจึงมีการประเมินภาษีกับนายทักษิณโดยตรงเป็นเงินกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท
- แม้ศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์จะพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีเนื่องจากกระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับให้กรมสรรพากรเป็นฝ่ายชนะคดี
- ศาลฎีกาวินิจฉัยว่านายทักษิณมีเจตนาปกปิดการถือหุ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและทางภาษี ถือเป็นบทสรุปของคดีที่ยืดเยื้อมานาน 20 ปี
สำหรับบริษัทบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด มีนาย เลา วี เตียง (Mr. Lau Hwee Tiang) และนางกาญจนา หงส์เหิน เป็นกรรมการ มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ (Holding Investment Company) ในประเทศไทย โดยโจทก์ เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียว จํานวน 1 หุ้น
ต่อมาวันที่ 11 มิ.ย.2542 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ได้ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 32,920,000 หุ้น จากโจทก์มูลค่าหุ้นละ 10 บาท (ราคา PAR) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
ในขณะที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ได้เพิ่ม นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นกรรมการ วันที่ 1 ธ.ค.2543 โดยนายทักษิณ ได้โอนหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด จํานวน 1 หุ้น ให้นายพานทองแท้ วันที่ 29 ส.ค.2554 หลังจากนั้นนายพานทองแท้ ซื้อเพิ่ม 3 หุ้น และ นางสาวพินทองทา ชินวัตร ซื้อ 1 หุ้น
จากนั้นได้เปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นนายพานทองแท้ นางสาวพินทองทา และนางกาญจนา หงษ์เหิน
“แอมเพิลริช”ต้นทางคดีภาษีหุ้นชิน
บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ทั้งหมดแก่นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท โดยซื้อขายกันนอก ตลท.
จากนั้นนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็ก เป็นการซื้อขายผ่าน ตลท.เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549 ในขณะที่ราคาหุ้นใน ตลท.ขณะนั้นอยู่ที่หุ้นละ 49.25 บาท
กรมสรรพากร เห็นว่ากรณีนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) มาจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท เป็นการซื้อนอก ตลท.ถือเป็นเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2549 และต้องยื่นแบบเสียภาษีภายในวันที่ 31 มี.ค.2550 แต่ทั้งคู่ไม่นำเงินได้ส่วนนี้มายื่นแบบเสียภาษี
เมื่อเกิดการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะในวันที่ 19 ก.ย.2549 ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล
“สรรพากร” ประเมินภาษีขายหุ้นหมื่นล้าน
คตส.มีความเห็นว่าการที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด โอนหุ้นให้นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถือว่าส่วนต่างของราคาหุ้นระหว่างราคาตลาดกับราคาที่นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาได้รับโอนมาเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีพร้อมเบี้ยปรับเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2550 โดยนายพานทองแท้ต้องชำระ 5,904.79 ล้านบาทและนางสาวพินทองทา ต้องชำระ 5,676.86 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ทั้งสองคนต้องชำระ 11,581.65 ล้านบาท แต่ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยจึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ของกรมสรรพากรให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว แต่ไม่เป็นผล โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มีความเห็นให้บุคคลทั้งสองชำระค่าภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรายเดือนตามที่เจ้าหน้าที่ประเมิน
นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง ขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินภาษีและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ต่อมากรมสรรพากร ได้ทำการยึดอายัดทรัพย์สินของคู่ คือ เงินสดประมาณ 200 ล้านบาท และทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและหลักทรัพย์อีก 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีการออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากรไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา สําหรับการตรวจสอบภาษีปีภาษี 2549 จํานวน 2 ครั้ง โดยทั้งคู่ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มีคําวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ แต่ลดเบี้ยปรับให้คงเหลือเรียกเก็บเพียง 50% ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย
“ทักษิณ” เจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริง
ช่วงที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ได้นําคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง ในระหว่างระหว่างนั้นกรุงเทพธุรกิจรายงานว่าได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ว่า นายทักษิณยังคงเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 1,419,490,150 หุ้น โดยนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทนนายทักษิณ
ดังนั้น จึงแย้งว่าการประเมินภาษีต่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ไม่ใช่การประเมินภาษีกับผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ศาลภาษีอากรกลางจึงพิพากษาเพิกถอนการประเมินเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ฟื้นคดีภาษีหุ้น
เมื่อมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยกประเด็นภาษีหุ้นชินคอร์ป ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อหาแนวทางการจับเก็บภาษีมากกว่า 10,000 ล้านบาทเข้ารัฐให้ได้ ซึ่งมีการหารือระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลัง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2560 เพื่อไม่ให้ขาดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.2560 โดยการใช้ช่องทางตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 และ 821 ซึ่งมีหลักการว่าตัวการต้องรับผิดชอบและผูกพันในการกระทำของตัวแทน
การดำเนินการดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรทำหนังสือแจ้งประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2549 (ภ.ง.ด.12) เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2560 ต่อนายทักษิณ พร้อมเบี้ยปรับจำนวน 17,629 ล้านบาท ไปติดที่บ้านของนายทักษิณตามฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ก่อนหมดอายุความวันที่ 31 มี.ค.2560
“ทักษิณ”ฟ้องเพิกถอนคำสั่งสรรพากร
ต่อมานายทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับการประเมินภาษีของกรมสรรพากร จึงได้ยื่นฟ้องกรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ,นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 2-4) ต่อศาลภาษีอากรกลาง
นายทักษิณ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่แจ้งให้นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กรมสรรพากร เป็นเงิน 17,629 ล้านบาท
ต่อมาศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 ก.ค.2565 พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบนายทักษิณ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร และศาลพิพากษายืนตามคำพิพากษาของภาษีอากรกลาง เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2566 โดยศาลวินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบนายทักษิณ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากร
“ศาลฎีกา”พิพากษาจ่ายภาษีหุ้นชิน
กรมสรรพากรยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา และวันที่ 17 พ.ย.2568 ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับไม่ยืนตามศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับคดีเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์จำกัด (มหาชน)
ศาลฎีกาพิเคราะห์เเล้ว สรุปว่านายทักษิณ ปกปิดการถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์จำกัด (มหาชน) โดยให้นายพานทองเเท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะนายทักษิณประสงค์เข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร
ทั้งยังเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์
คำพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นบทสรุปชั้นฎีกาของคดีภาษีหุ้นชินที่ยืดเยื้อมา 20 ปี







