‘คลัง’ กังขา GDP ไตรมาส 3 ต่ำคาด เตรียมถก ‘สภาพัฒน์’ ปมสินค้าคงคลังวูบกว่าแสนล้าน

‘คลัง’ กังขา ‘สภาพัฒน์’ แถลงจีดีพีไตรมาส 3 โตแค่ 1.2% ระบุต่ำคาดจากหลายหน่วยงาน มอง “สินค้าคงคลัง" ติดลบแสนล้านฉุดตัวเลขไตรมาส 3 เกินจริง ชี้แจงรายละเอียด มั่นใจจีดีพีไตรมาส 4 โตเกิน 1% ดันตัวเลขเศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวได้ถึง 2%
กรณีที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ปีนี้ออกมาขยายตัวเพียง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และหดตัว 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ากระทรวงการคลัง จะนัดหมายเข้าพบ สศช.เพื่อหารือ และขอความชัดเจนเกี่ยวกับตัวเลขดังกล่าวเนื่องจากมีตัวเลขในส่วนของสินค้าคงคลังที่ลดไปจากมากกว่าแสนล้านบาทซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมากซึ่งกระทรวงการคลังต้องการรายละเอียดที่ชัดเจนในส่วนนี้
“ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ที่ สศช.แถลงมาถือว่าต่ำกว่าที่กระทรวงการคลัง ภาคเอกชน หรือแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขควรจะสูงกว่านี้ ซึ่งเมื่อไปดูในรายละเอียดแล้วในส่วนของสินค้าคงคลังนั้นลดลงไปจากปีก่อนมากกว่าแสนล้านบาท ซึ่งตรงนี้ควรมีการติดตามข้อมูลที่ชัดเจนว่าสินค้าคงคลังที่ลดลงมาจากส่วนใด”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าเมื่อกระทรวงการคลังไปวิเคราะห์รายละเอียดภายในของตัวเลขจีดีพี พบว่าในส่วนของสินค้าคงคลัง (inventory) มีการลดลงไปเป็นมูลค่ากว่าแสนล้านบาทจากไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี (contribution to GDP) ประมาณ -1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ข้อมูลในส่วนนี้มีความผิดปกตินี้ทำให้เกิดคำถามเนื่องจากมีข้อมูลว่าการส่งออกในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา มีการขยายตัวถึง 19% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งซื้อ หรือออร์เดอร์ เข้ามาอยู่
ตามหลักการแล้ว หากทราบว่ามีออร์เดอร์ ผู้ผลิตควรจะผลิตเพิ่ม และเก็บสต๊อกไว้เพื่อการขายซึ่งหมายความว่าสต๊อกสินค้าคงคลังควรจะเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตัวเลขสินค้าคงคลังกลับลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่มีคำสั่งซื้อสูงในช่วงที่ผ่านมา โดยหากมีการปรับตัวเลขสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็นตัวเลขจีดีพีที่ออกมาอาจจะไม่ติดลบหนักขนาดนี้
ทั้งนี้สิ่งที่ต้องขอให้ สศช.ช่วยชี้แจงคือ จำนวนสินค้าคงคลังที่ลดลงกว่าแสนกว่าล้านบาท มาจากสินค้าประเภทใดบ้าง เนื่องจากเอกสารที่มีการเผยแพร่มานั้นไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าเป็นการลดลงของ ทองคำเท่าไร ยางเท่าไร ข้าวเท่าไร หรือสินค้าอุตสาหกรรมเท่าไร โดยรายละเอียดนี้มีความสำคัญ เพื่อให้สามารถติดตาม และตรวจสอบได้ว่าการลดลงดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใดที่ชัดเจน เช่น หากระบุว่ามาจากสินค้าเกษตร ก็จะสามารถสอบถามไปยังกระทรวงเกษตรได้ว่ายางพาราหรือข้าวไม่ได้เข้าโกดังตามที่ตัวเลขบ่งชี้จริงหรือไม่
แหล่งข่าวกล่าวต่อถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ว่าหากใช้ตัวเลขจีดีพีสามไตรมาสแรกของปีนี้ ที่คำนวณว่าเศรษฐกิจในช่วง 3 ไตรมาสแรกขยายตัวได้ 2.4% หากจีดีพีทั้งปีเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% ไตรมาสสุดท้าย (ไตรมาสที่ 4) จะต้องทำได้ที่ประมาณ 0.8% อย่างไรก็ตามไตรมาสที่ 4 จีดีพีไม่น่าจะต่ำกว่า 1% และไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอย (recession) เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายประการเข้ามาสนับสนุน เช่น โครงการ "คนละครึ่ง" มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเริ่มมีผลในไตรมาสที่ 4 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ จากกระทรวงต่างๆ ก็มีผลในไตรมาสที่ 4 เช่นกัน
“กระทรวงการคลังจึงเชื่อว่าตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 4 น่าจะดีกว่า 0.8% และอาจถึง 1.1% ตามที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ได้ระบุไว้ และไม่น่าจะเห็นตัวเลขเริ่มต้นด้วยศูนย์จุดอย่างแน่นอน” แหล่งข่าวกล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







