‘ไทย’ประกาศ‘ไฮโดรเจน’เป็น‘น้ำมันเชื้อเพลิง’ สถานะตามกฎหมายทั้ง‘ควบคุม-การใช้งาน’

‘ไทย’ประกาศ‘ไฮโดรเจน’เป็น‘น้ำมันเชื้อเพลิง’   สถานะตามกฎหมายทั้ง‘ควบคุม-การใช้งาน’

“อรรถพล” ลงนามประกาศกระทรวงพลังงาน ให้ไฮโดรเจน -แอมโมเนีย เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ตามพรบ.น้ำมันเชื้อเพลิง เล็งร่างกติกาการควบคุมและใช้งานให้แล้วเสร็จ ในปี 70 IEA ชี้ ดีมานด์ตลาดโลกโตต่อเนื่อง อาเซียน เวียดนาม - อินโดนีเซียแหล่งผลิตภูมิภาค

ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่าความต้องการไฮโดรเจนทั่วโลกจะสูงถึงประมาณ 130 ล้านตันภายในปี 2573 เพิ่มขึ้น 45% จากปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 430 ล้านตันภายในปี 2593 ชี้ให้เห็นว่าจากนี้ไปกำลังจะเป็นยุคของ“ไฮโดรเจน”

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงนามใน ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง ให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยประกาศกระทรวงพลังงานฉบับนี้ได้กำหนดให้ ไฮโดรเจนเชื้อเพลิง (Hydrogen Fuel) และแอมโมเนียเชื้อเพลิง (Ammonia Fuel) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 เพื่อเตรียมออกกฎระเบียบด้านความปลอดภัยรองรับการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย เฉพาะที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า  การผลิตความร้อนสำหรับภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง

ไทม์ไลน์การจัดทำร่างกฎหมายเพื่อใช้งาน

ด้านนายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า การดำเนินงานขั้นต่อไปในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ถึง 2570 กรมธุรกิจพลังงานจะจัดทำร่างกฎหมาย เพื่อกำหนดประเภทของกิจการควบคุมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมธุรกิจพลังงาน เช่น กิจการคลัง ไฮโดรเจน กิจการระบบการขนส่งไฮโดรเจนทางท่อ กิจการถังขนส่งไฮโดรเจน กิจการสถานีบริการไฮโดรเจน และกิจการสถานที่ใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย 

จากนั้นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ถึง 2572 จะจัดทำร่างกฎหมาย เพื่อกำกับดูแลด้านความปลอดภัยเชิงวิศวกรรมและ

ด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับกิจการแต่ละประเภท เพื่อให้การใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นไปอย่างปลอดภัยและยั่งยืน ต่อไป

ข้อมูลจาก Global Hydrogen Review 2025 จัดทำโดย IEA ระบุว่า ความต้องการไฮโดรเจนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 100 ล้านตัน (Mt) ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 2% จากปี 2566 และสอดคล้องกับการเติบโตของความต้องการพลังงานโดยรวม การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในภาคส่วนที่เคยใช้ไฮโดรเจน เช่น การกลั่นน้ำมันและอุตสาหกรรม ความต้องการจากการใช้งานใหม่ๆ มีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของความต้องการทั้งหมด และเกือบทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ 

ห่วงไฮโดรเจนส่วนใหญ่ยังปล่อยมลพิษ

โดยการจัดหาไฮโดรเจนยังคงถูกครอบงำโดยเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ 290 พันล้านลูกบาศก์เมตร (bcm) และถ่านหินเทียบเท่า (Mtce) 90 ล้านตันในปี 2567 การผลิตไฮโดรเจนที่มีการปล่อยมลพิษต่ำเพิ่มขึ้น 10% ในปี 2567 และคาดว่าจะถึง 1 Mt ในปี 2568 แต่ยังคงมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของการผลิตทั่วโลก

สำหรับความต้องการไฮโดรเจนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)ส่วนใหญ่มาจากภาคเคมีภัณฑ์ โดยอุปทานส่วนใหญ่มาจาก

ก๊าซธรรมชาติ ความต้องการไฮโดรเจนในอาเซียนในปี พ.ศ. 2567 สูงถึง 4 ล้านตันต่อปี นำโดยอินโดนีเซีย ซึ่งคิดเป็น 35% รองลงมาคือ มาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ 

ทั้งนี้ การใช้ไฮโดรเจนในการผลิตแอมโมเนียคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของความต้องการ รองลงมาคือการกลั่นและการผลิตเมทานอล 

สำหรับความต้องการเกือบ 80% มาจากไฮโดรเจนที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านกระบวนการปรับลด ส่วนที่เหลือมาจากผลพลอยได้จากอุตสาหกรรม ดังนั้น การผลิตไฮโดรเจนใช้ก๊าซประมาณ 8% ของอุปทานทั้งหมดในภูมิภาค และคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน

เวียดนามลุยจริงโปรเจกต์ไฮโดรเจนสีเขียว

อย่างไรก็ตาม โครงการผลิตไฮโดรเจนที่มีการปล่อยก๊าซต่ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มที่ดี แต่ยังคงต้องพัฒนาให้สมบูรณ์ รายงานระบุอีกว่า จากโครงการที่มีประกาศไว้ว่าจะมีการผลิตไฮโดรเจนที่มีการปล่อยก๊าซต่ำอาจสูงถึง 480 ตันต่อปีภายในปี พ.ศ. 2573 ส่วนใหญ่อยู่ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย แต่ในความเป็นจริง มีเพียง 6% ของการผลิตที่ประกาศไว้เท่านั้นที่บรรลุการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) และอีก 60% ยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา 

“ยกเว้นโครงการโครงการอิเล็กโทรไลเซอร์ขนาด 240 เมกะวัตต์ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่โครงการที่ใหญ่ในระดับนี้ที่อยู่นอกประเทศจีนที่บรรลุFID ซึ่งผลผลิตประมาณ 40% ของโครงการเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่การส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแอมโมเนีย”

ด้านความต้องการใช้ไฮโดรเจน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งทางเรือ  แต่ต้องเป็นนำไฮโดรเจนที่ปล่อยมลพิษต่ำซึ่งมีการผลิตแอมโมเนียในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม 

ในส่วนเป้าหมายการผลิตรายประเทศพบว่า การผลิตเมทานอลในมาเลเซีย เพื่อลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและผลิตภัณฑ์จากก๊าซธรรมชาติ ขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนาม ใช้เพื่อการผลิตเหล็กกล้าเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค ส่วนสิงคโปร์ เพื่อการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงทางทะเลในสิงคโปร์ ตามกฎการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ

เทียบราคาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำยังสูงมาก

ข้อมูลจาก สภาเศรษฐกิจโลก (WEF) ระบุว่า  ไฮโดรเจนสีเขียวยังคงมีราคาแพงกว่าเชื้อเพลิงทั่วไปอย่างมาก แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้พัฒนาพลังงานไฮโดรเจนมาอย่างต่อเนื่อง กำหนดเป้าหมายที่จะลดต้นทุนด้วยการขยายขนาดและนวัตกรรม แต่ก็ยังเผชิญกับความไม่แน่นอน 

“ ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่าการผลิตไฮโดรเจนจะลดลงเหลือ 2 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม แต่ต้นทุนเพื่ลดคาร์บอนจะอยู่ที่ 500 ถึง 1,250 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และแม้ว่าต้นทุนการผลิตจะลดลง แต่อุปสรรคต่อไปก็ยังอยู่ที่ เรื่องของค่าขนส่ง การจัดเก็บที่ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก” 

การเปลี่ยนผ่านจากการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นการนำเข้าไฮโดรเจนอาจช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ แต่ความสามารถในการแก้ไขเชิงโครงสร้างยังพบกับความเปราะบางในหลายมิติ ดังนั้น การที่ไทยกำหนดให้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงหลักคือการเริ่มต้นเข้าสู่อนาคตแห่งพลังงานที่สำคัญ 

‘ไทย’ประกาศ‘ไฮโดรเจน’เป็น‘น้ำมันเชื้อเพลิง’   สถานะตามกฎหมายทั้ง‘ควบคุม-การใช้งาน’