เอกชนชูข้อเสนอขนส่งทางเรือหนุนการค้า ลดแออัด- แก้กฎหมาย-ดึงดิจิทัลช่วยงาน

เศรษฐกิจของประเทศไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีมากกว่า 60% ดังนั้นหากสามารถกำหนดสภาพแวดล้อมทางการค้าไม่ว่าจะด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือกฎระเบียบก็จะทำให้ทิศทางเศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างดี
ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ภาพรวมการเปิด-ปิดธุรกิจโลจิสติกส์ เดือนก.ย. 2568 ที่มีธุรกิจสะสมรวม 47,075 ราย ในเดือนก.ย. มีธุรกิจเปิดใหม่ 338 ราย แต่มีธุรกิจปิดกิจการ 79 ราย สาเหตุหลักของธุรกิจที่ปิดกิจการส่วนใหญ่มาจากปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
สำหรับภาคการขนส่งที่มีบทบาทสูงสุดคือการขนส่งทางเรือ ซึ่งมี สัดส่วน 56.8% มูลค่าการค้ารวม 1,120,692.18 ล้านบาท การเติบโต 3.3% (YoY) โดยแนวโน้มการขนส่งทางเรือจะมีอัตราขยายตัวอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากสินค้าคงคลังของผู้นำเข้าสำคัญของโลก คือ สหรัฐเริ่มลดลง หลังจากเร่งนำเข้าสินค้าไปก่อนหน้านี้ เพื่อเลี่ยงภาษีตอบแทนของสหรัฐ แต่ปลายปีจะเป็นช่วงเทศกาลซึ่งมีการใช้จ่ายและความต้องการสินค้าสูงด้วยทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือจะยังคงคึกคักต่อไป นอกจากนี้ แนวโน้มค่าระวางเรือของเส้นทางที่ไปสู่ท่าทางตะวันตก ของสหรัฐ ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ถึง 30% ในเดือน ก.ย. 2568 ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเป็น โอกาสในการขนส่งสินค้าทางเรือ
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2568 นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่ออำนวยความสะดวกการส่งออกไทย
โดย สรท. ได้ชูประเด็นเร่งด่วนสำคัญ 3 ด้าน มุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเชิงโครงสร้าง เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออกไทย ประกอบด้วย
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน : โดยเฉพาะปัญหาความแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือสำคัญต่อการส่งออกของประเทศ รวมถึงการเร่งรัดประเด็นด้านสัญญาสัมปทานไอซีดีลาดกระบัง และการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางราง ไปยังโครงการ Single Rail Transport Operator (SRTO) ในท่าเรือแหลมฉบัง ให้มากที่สุดเพื่อลดปัญหาจราจรแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อเสนอ โดยเฉพาะการจัดสรรพื้นที่จอดรถบรรทุกให้เพียงพอทั้งในท่าเรือและนอกท่าเรือ การติดตามการทำสัญญาสัมปทานสถานีไอซีดีลาดกระบัง และประสานงานกรมศุลกากรเพื่อให้ไอซีดีลาดกระบังสามารถทำพิธีการศุลกากรขาออก
2. ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ: เห็นพ้องการผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อปลดล็อก “การถ่ายลำตู้สินค้าคอนเทนเนอร์” ในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งคาดว่าสามารถลดต้นทุนส่งออกได้ปีละราว 1,000 ล้านบาท จากที่เสียเปรียบด้านต้นทุนให้คู่แข่งทางการค้ามาโดยตลอดในแง่ของต้นทุนค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์ที่สูงกว่าจากการใช้เรือ Feeder ผ่านการเร่งรัดผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายลำ 6 ฉบับแรก จากทั้งหมด 17 ฉบับ รวมไปถึงการแก้ไขปัญหา “ความสูง” ของรถบรรทุก ที่กฎหมายไม่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติในการขนส่งในปัจจุบันและรวมถึงไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก โดยเฉพาะกรณีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด High Cube และรถบรรทุกรถยนต์
3. ด้านการพัฒนาดิจิทัล (Digital Development): โดยคมนาคมมีการเร่งรัดการพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) ให้แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานโดยเร็ว และเชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการคิวรถบรรทุก (Truck Queue) เพื่อให้ลดข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าภายในท่าเรือแหลมฉบัง อันเปรียบเสมือนประตูหลักสู่การค้าโลกของประเทศไทย
ด้านจ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวหลัง ฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด พร้อมทั้งขึ้นเรือติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2561-ปัจจุบัน) ซึ่งได้ดำเนินการถมทะเลเพื่อการอุตสาหกรรม จำนวน 1,000 ไร่
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างในช่วงที่ 2 โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมลงทุนกับ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF
โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 เป็นโครงการลงทุนสำคัญในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยช่วงที่ 1 ได้ดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานเสร็จสิ้นแล้ว และในช่วงที่ 2 จะก่อสร้างท่าเทียบเรือก็าซ จำนวน 3 ท่า ท่าเรือเทียบเรือสินค้าเหลว จำนวน 2 ท่า ท่าเทียบเรือบริการ จำนวน 1 ท่า รวมทั้งคลังสินค้าและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติ จำนวน 150 ไร่
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมีผู้ประกอบการขนาดใหญ่ จำนวน 168 ราย เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มปิโตรเคมีและสารเคมี กลุ่มพลังงานและก็าซธรรมชาติ และท่าเรืออุตสาหกรรมพื้นที่มาบตาพุด (MTP Complex) ประกอบด้วย 6 นิคมฯ 1 ท่าเรือ ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
ในส่วนตลาดสำคัญได้แก่ จีน ส่วนแบ่งการขนส่งทางเรือที่ 22% เติบโต15.7% รองลงมาคือสหรัฐ สัดส่วน 13.1% เติบโต 11.5% และญี่ปุ่น สัดส่วน 10% เติบโต 2.3%
ท่าเรือสำคัญ ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง สัดส่วน 78.5% เติบโต 7.9% ท่าเรือมาบตาพุด สัดส่วน 6.7% ลดลง 22.3% ท่าเรือกรุงเทพ สัดส่วน 6.3% เติบโต 2.3%







