'เอสเอ็มอี’ หนี้ใน-นอกระบบพุ่ง หนุนปลดล็อกกองทุนฟื้นฟูฯ

“สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย” เผยโครงสร้างหนี้เปราะบาง มีหนี้ในระบบมากขึ้น แต่มีความเสี่ยงเป็นหนี้คู่ขนานทั้งหนี้ในระบบ และนอกระบบ ชี้ดอกเบี้ยนโยบายลดลง ไม่เกิดประโยชน์เพราะดอกเบี้ยธุรกิจรายย่อยไม่ลดตาม
KEY
POINTS
- SMEs ส่วนใหญ่ (64.3%) ไม่ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากติดข้อจำกัดด้านเกณฑ์การปล่อยกู้ที่เข้มงวด และการขาดหลักประกัน มีเพียง 14.7% ที่ได้รับประโยชน์
- สาเหตุหลักที่ SMEs ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อคือ คุณสมบัติไม่ผ่าน (83.3%) ซึ่งสะท้อนถึงปัญหา "คอขวดการเข้าถึงทุน" แม้จะต้องการสภาพคล่องเพื่อดำเนินธุรกิจ
- สถานการณ์ธุรกิจของ SMEs กลุ่มใหญ่ที่สุด (46%) มีรายได้เพียงพอแค่ชำระหนี้แต่ไม่สามารถลงทุนต่อได้ และอีก 15.2% อยู่ในขั้นตอนการปรับโครงสร้างหนี้
- สุขภาพทางการเงินของ SMEs รายย่อยอ่อนแอ โดยกว่า 90% ขาดสภาพคล่อง และ 50% ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ ซึ่งตอกย้ำปัญหาสภาพหนี้ที่รุนแรง
สถานการณ์หนี้ ของ SMEs ไทยจากการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ได้สำรวจ SMEs สะท้อนสัญญาณ “ดีขึ้นบางจุด แต่เสี่ยงมากขึ้นหลายด้าน”
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ได้นำข้อมูลของ สสว.มาพิจารณาพบข้อมูล SMEs กลุ่มมีหนี้ในระบบสถาบันการเงินอยู่ที่ 31.2% เพิ่มจากไตรมาส 2 ที่ 23% ส่วน SMEs กลุ่มที่มีหนี้ทั้งใน และนอกระบบร่วมกันอยู่ที่ 46.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 45.9%
ขณะที่เฉพาะกลุ่มที่มีหนี้นอกระบบลดลงมาอยู่ที่ 21.9% จากเดิม 31.1% ซึ่งโดยรวมสะท้อนว่า SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบมากขึ้น แต่ความเสี่ยงกลับสูงขึ้นจากสัดส่วนผู้ประกอบการที่มีหนี้ทับซ้อน ทั้งใน และนอกระบบที่เพิ่มต่อเนื่อง
ด้านผลจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายพบว่า SMEs จำนวนมากยัง “ไม่รับรู้ประโยชน์” โดย 64.3% ระบุว่าไม่ได้รับการลดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน เนื่องจากเป็นรายย่อยที่ติดข้อจำกัดทั้งเกณฑ์ปล่อยกู้ที่เข้มงวด และการขาดหลักประกัน ส่วนอีก 21% ยังไม่เห็นความชัดเจนของนโยบาย และมีเพียง 14.7% ที่ได้ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ย
สำหรับสาเหตุที่ SMEs ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อ ส่วนใหญ่ 83.3% มาจากคุณสมบัติไม่ผ่าน ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน 6.5% มีประวัติการชำระไม่ดี 5.7% และขาดเอกสารหลักฐานรายได้-งบการเงิน 4.5% สถานการณ์สะท้อนชัดว่า SMEs จำนวนมากยังมี “คอขวดการเข้าถึงทุน” แม้ต้องการเพิ่มสภาพคล่อง และเงินทุนหมุนเวียนเพื่อปรับตัวท่ามกลางการแข่งขันรุนแรง และเศรษฐกิจผันผวน
ในเชิงสถานการณ์ธุรกิจ SMEs พบว่า 19.8% เติบโตต่อเนื่อง 15% อยู่ในช่วงขาลงแต่ยังประคองธุรกิจได้ ขณะที่กลุ่มใหญ่ถึง 46% มีรายได้เพียงพอจ่ายหนี้แต่ไม่พอสำหรับลงทุน และ 15.2% อยู่ในขั้นตอนปรับโครงสร้างหนี้ โดยข้อมูลจาก SMEs รายย่อย ยังชี้ว่า สุขภาพการเงินอ่อนแอ ขาดสภาพคล่องกว่า 90% และครึ่งหนึ่งมีหนี้มากกว่า 1 แหล่ง รวมถึงพึ่งพาหนี้นอกระบบถึง 50%
หนุนกลไก FIDF ปล่อยสินเชื่อ
ส่วนมาตรการของรัฐ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เดินหน้ามาตลอดเป็นเรื่องที่ SMEs “เห็น และขอบคุณ” ทั้งโครงการแก้หนี้รายย่อยไม่เกิน 100,000 บาท การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินรัฐ รวมถึงกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ แต่ยังมีข้อเสนอให้เสริมประสิทธิภาพหลายด้าน โดยเฉพาะกลไกด้านสถาบันการเงินพาณิชย์ และสถาบันการเงินของรัฐ
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือ การใช้เงินสมทบกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงิน (FIDF) มาช่วยสถาบันการเงิน “เร่งปล่อยสินเชื่อให้ SMEs เปราะบาง” พร้อมช่วยชดเชยความเสี่ยงจากหนี้เสียตามกรอบวงเงินที่ส่งสมทบ โดยให้ Refund ได้ไม่เกิน 50% ของเงินสมทบของแต่ละสถาบัน พร้อมกำหนดกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ได้แก่
1.SMEs ลูกค้าปัจจุบันที่จำเป็นต้องขอสินเชื่อเพิ่มแต่ถูกปฏิเสธต่อเนื่อง
2.SMEs ที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ให้ใช้เครื่องมือ Factoring, Invoice Financing และ Purchasing Order Financing เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ลดปัญหาเครดิตเทอม-พึ่งพาหนี้นอกระบบ
3.SMEs ที่มีทั้งหนี้ใน-นอกระบบ แต่มีหลักประกัน และประวัติการชำระดี เปิดโอกาสให้ “ย้ายหลักทรัพย์เข้าระบบ” เพื่อแก้หนี้ยั่งยืน
ทั้งนี้ ทุกกลุ่มต้องมีกลไก “พี่เลี้ยง-ที่ปรึกษา” ช่วยวินิจฉัยธุรกิจ เชื่อมต่อระบบสนับสนุนจากรัฐ เช่น Business Development Service (BDS) สสว., คลัสเตอร์อุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, เทคโนโลยีและ AI จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), สำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
รวมถึงการแก้หนี้ร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงศูนย์ให้คำที่ปรึกษาการเงิน บสย.
แนะกองทุนของรัฐปรับเงื่อนไข
นอกจากนี้ กองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ และกองทุน สสว.ควรเร่งปรับเกณฑ์ให้ยืดหยุ่นขึ้น ลดขั้นตอน เพิ่มความเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาจริงของรายย่อย ขณะที่กลุ่ม Non-bank เช่น PICO และ Nano Finance ควรผูกกับระบบพี่เลี้ยงเพื่อเสริมทักษะ เพิ่มคุณภาพหนี้ ลดหนี้เสีย และหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน
ส่วน บสย.เสนอให้เน้นค้ำประกันรายย่อย และรายย่อมมากขึ้น แทนการถูกใช้โดยผู้ประกอบการที่แข็งแรงอยู่แล้ว เพราะงบประมาณจำกัดต้องถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม การที่จำทำให้ SMEs อยู่รอด และแข่งขันได้ คือ โจทย์ที่ต้องเร่งแก้ เพราะประเทศไทยไม่อาจปล่อยให้ GDP โตต่ำสุดในอาเซียนต่อเนื่องได้
ทั้งนี้ เมื่อเทียบการขยายตัวเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566 ถึงไตรมาส 2 ปี 2568 เวียดนามโต 5.0-8.0%, ฟิลิปปินส์ 5.2-6.3%, อินโดนีเซีย 4.9-6.0%, มาเลเซีย 3.0-5.9%, สิงคโปร์ 2.7-5.7% ขณะที่ไทยโตเพียง 1.5-3.2% เท่านั้น จึงถึงเวลาร่วมกันเปลี่ยนกลยุทธ์ แก้หนี้-เข้าถึงทุน-เพิ่มขีดความสามารถ ก่อนเศรษฐกิจฐานรากเสี่ยงฉุดหยุดโต
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







