กรมชลประทาน ระบายน้ำท้ายเขื่อนต่อเนื่อง ลดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา

กรมชลประทาน ระบายน้ำท้ายเขื่อนต่อเนื่อง ลดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา

ฝนตอนบนเริ่มลดลง กรมชลฯ เร่งระบายน้ำต่อเนื่อง ยัน“เขื่อนภูมิพล” ไม่มีแผนเปิดสปิลเวย์ เตรียมแผนลดการระบายน้ำทุกเขื่อน หวังคลี่คลายสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา

KEY

POINTS

  • ฝนทางตอนบนเริ่มลดลง ทำให้สถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลาย
  •  กรมชลประทาน เดินหน้าเร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว 
  • เขื่อนภูมิพล ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดอาคารระบายน้ำล้น (Spillway) ออกสู่ท้ายน้ำ  
  • เดือนธันวาคม การระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาจะลดลงเหลือประมาณ 1,000 ลบ.ม./วินาที และปรับเข้าสู่ระดับปกติราว 700 ลบ.ม./วินาทีในเดือนมกราคม  

ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” ในพื้นที่ตอนบน ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้มีปริมาณน้ำจากทางตอนบนทยอยไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พ.ย.68) ที่สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีปริมาณไหลผ่านในอัตรา 2,976 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) /วินาที ก่อนจะไหลลงมาสมทบกับปริมาณน้ำที่มาจากแม่น้ำสะแกกรัง และไหลลงสู่บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ตามลำดับ

โดยกรมชลประทาน ได้รับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมควบคุมการระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในเกณฑ์ 2,900 ลบ.ม./วินาที ร่วมกับการปรับลดการระบายน้ำผ่านเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี เหลือในอัตรา 200 ลบ.ม./วินาที พร้อมเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง และสถานีสูบน้ำตามแนวคลองชายทะเลออกสู่อ่าวไทยตามจังหวะการขึ้นลงของน้ำทะเลอย่างต่อเนื่อง

กรมชลประทาน ระบายน้ำท้ายเขื่อนต่อเนื่อง ลดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา

ทั้งนี้ สถานการณ์ฝนทางตอนบนเริ่มลดลง ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายตามลำดับ กรมชลประทาน ยังคงเดินหน้าเร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว ตามข้อสั่งการของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า  สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันที่สถานีวัดน้ำ C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีน้ำไหลผ่าน 3,011  ลบ.ม. /วินาที ก่อนจะไหลลงมาสมทบกับปริมาณน้ำที่มาจากแม่น้ำสะแกกรัง และไหลลงสู่บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ตามลำดับ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานยังสามารถควบคุมได้ และยังมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

กรมชลประทาน ระบายน้ำท้ายเขื่อนต่อเนื่อง ลดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา

ขณะเดียวกันได้มีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำโดยเร่งระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาออกทั้ง 2 ฝั่งซ้าย-ขวามาโดยตลอดอย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงได้มีการปรับลดการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เหลือ 200 ลบ.ม./วินาที ซึ่งปริมาณน้ำนี้จะไหลผ่านเขื่อนพระรามหก และมีการรับน้ำเข้าคลองระพีพัฒน์ เพื่อลำเลียงน้ำลงสู่พื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง และเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง และอ่าวไทยตามลำดับ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก รวมถึงช่วยบรรเทาและลดผลกระทบในพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา

 

“สำหรับข้อสังเกตในด้านการระบายน้ำออกทั้ง 2 ฝั่งซ้าย-ขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ขอยืนยันว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้มีการดำเนินการระบายน้ำทั้ง 2 ฝั่งมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันคลองส่งน้ำทั้ง 2 ฝั่งยังสามารถรับน้ำได้อยู่ และหลังจากนี้ในช่วงที่ปริมาณฝนลดลง สถานการณ์น้ำทะเลหนุนดีขึ้น ได้สั่งการให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำออกสู่อ่าวไทย รวมถึงได้มีการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการควบคุมสถานการณ์ และดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ให้ดีที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัย จากปริมาณฝนตกหนักสะสมในพื้นที่ภาคใต้เช่นกัน” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว 

“ปัจจุบันเขื่อนภูมิพลยังคงระบายน้ำอยู่ที่ประมาณ 48 ล้านลบ,ม, /วัน ส่วน​เขื่อน​กิ่วลมระบายที่​ 6 ล้าน​ลบ.ม./ วัน​ ส่งผลให้​ปริมาณ​น้ำที่ไหลมายังเขื่อนเจ้าพระยามีมาก​ แม้ได้แบ่งน้ำเข้าระบบชลประทาน​ทั้ง​ 2 ฝั่งเหนือ​เขื่อน​อย่าง​เต็ม​ศักยภาพ​แล้ว​ ยังจำเป็นต้องระบายท้ายเขื่อนในอัตรา 2,900 ลบ.ม. /วินาที ทำให้​ประชาชน​จังหวัด​ท้าย​เขื่อน​ได้​รับผลกระทบ​กว้าง​ขึ้นโดยยืนยัน​ว่า การระบายในอัตราดังกล่าว​ เป็น​อัตราสูงสุด​ซึ่ง​จะดำเนินต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนทะยอยปรับลดลงตามปริมาณน้ำเหนือที่เริ่มลดลง​ รวมทั้ง​ภาวะ​น้ำ​ทะ​เ​ลหนุน​ที่​คลี่คลาย​ลง” 

พร้อมจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำเร่งระบายน้ำตอนปลายลุ่มเจ้าพระยาออกสู่อ่าวไทยที่จังหวัด​สมุทรปราการ​และ​จังหวัด​ฉะเชิงเทรา​ ตลอด​จนจะระบาย​น้ำเข้า​คลองบางสายของกทม.​ ในอัตรเล็กน้อย​ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่เดือนธันวาคม การระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาจะลดลงเหลือประมาณ 1,000 ลบ.ม./วินาที และปรับเข้าสู่ระดับปกติราว 700 ลบ.ม./วินาทีในเดือนมกราคม ขณะที่รัฐบาลเตรียมมาตรการเยียวยาเป็นพิเศษให้แก่เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำที่ได้รับผลกระทบยาวนานจากน้ำท่วม โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 

กรมชลประทาน ระบายน้ำท้ายเขื่อนต่อเนื่อง ลดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   กล่าวว่า  สืบเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดอ่างทองจากผลกระทบของพายุ "คัลแมกี” ในครั้งนี้ภาพรวมสถานการณ์เริ่มคลี่คลายหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบน แต่มวลน้ำเริ่มลงมาบริเวณภาคกลาง จึงยังต้องเฝ้าระวังน้ำล้นและน้ำท่วมในลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกร จึงได้สั่งให้เร่งบริหารจัดการการระบายน้ำอย่างทั่วถึง พร้อมหารือแนวทางการป้องกันและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมรับฟังการรายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เขตรับผิดชอบของสำนักงานชลประทานที่ 10 - 12 เพื่อหารือแนวทางรับมือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเร่งด่วน

โดยกรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ด้วยการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งเต็มศักยภาพ รวม 600 ลบ.ม./วินาที ปัจจุบันปริมาณน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อัตรา 2,800 ลบ.ม./วินาที ซึ่งได้มีการปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จากอัตรา 350 ลบ.ม./วินาที เหลือ 300 ลบ.ม./วินาที เพื่อช่วยลดผลกระทบพื้นที่ตอนล่าง และเร่งระบายน้ำจากตอนบนลงสู่แม่น้ำบางปะกงและอ่าวไทยโดยเร็วที่สุด

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)  กล่าวว่า  สถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนภูมิพลในขณะนี้เป็นไปตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีความจำเป็นต้องเปิดอาคารระบายน้ำล้น (Spillway) ออกสู่ท้ายน้ำ ตามที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ โดยสถานการณ์น้ำปัจจุบันของเขื่อนภูมิพล (ข้อมูลวันที่ 13 พ.ย. 68) มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 13,406 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น 99.59% ของความจุเก็บกัก ซึ่งเป็นปริมาณน้ำสูงสุดของปีนี้ 

โดยมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ จำนวน 65 ล้าน ลบ.ม. และมีแผนการระบายออกอยู่ที่ 55 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ สทนช. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำในเขื่อนภูมิพลอย่างใกล้ชิด โดยหลังจากวันนี้ไปสถานการณ์น้ำของเขื่อนภูมิพลจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

กรมชลประทาน ระบายน้ำท้ายเขื่อนต่อเนื่อง ลดผลกระทบลุ่มเจ้าพระยา

“เขื่อนภูมิพลได้มีการระบายน้ำล่วงหน้าไปแล้วกว่า 5,300 ล้าน ลบ.ม. นับตั้งแต่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีพื้นที่ว่างรองรับน้ำได้อย่างเพียงพอ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ช่องทางการระบายน้ำล้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพของทุกหน่วยงานตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า การบริหารจัดการน้ำดังกล่าวอยู่ในแผนและเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องเปิดอาคารระบายน้ำล้นเหมือนกับสถานการณ์ในอดีตเมื่อปี 2554 เนื่องจากปัจจุบันปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการกำหนดแผนการลดการปรับลดการระบายน้ำออกจากเขื่อนภูมิพล โดยจะทยอยลดลงจาก 55 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ลงเหลือเพียง 30 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ภายในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ”  

นอกจากนี้ การบูรณาการบริหารจัดการน้ำยังรวมถึงเขื่อนต่างๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย โดยมีการลดการระบายน้ำที่เขื่อนสิริกิติ์ และการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำน่านและแม่น้ำสะแกกรังควบคู่กันไป รวมทั้ง ในวันนี้ได้มีการลดการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็น 136 ลบ.ม.ต่อวินาที และเพิ่มการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก รวมกัน 10 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อลดผลกระทบภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาไม่เพิ่มขึ้นและไม่จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำ 

ปัจจุบันเขื่อนเจ้าพระยายังคงอัตราการระบายน้ำที่ 2,900 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้กำชับให้คงอัตราการระบายดังกล่าว เพื่อไม่ไปซ้ำเติมผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ