S&P คงเครดิตไทย 'BBB+' มุมมอง 'มีเสถียรภาพ' หั่นเป้า GDP ปี 69 โตแค่ 2.0%

S&P Global คงอันดับเครดิตเรทติ้งส์ไทย 'BBB+' มุมมอง 'มีเสถียรภาพ' แต่หั่นเป้า GDP ปี 69 โตแค่ 2.0% ห่วงท่องเที่ยวชะลอ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (14 พ.ย.68) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings (S&P) ได้เปิดเผยรายงานโดยคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับ "มีเสถียรภาพ" (Stable Outlook)
นายเอกนิติ กล่าวว่า ผลการประเมินดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” 5 เสาหลัก
อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดการประเมินของ S&P ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติที่น่าจับตามอง
หั่นเป้า GDP ปี 69 เหลือ 2.0% - ห่วงท่องเที่ยวชะลอ
แม้ S&P จะคงอันดับความน่าเชื่อถือ แต่ได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Real GDP Growth) ในปี 2568 อยู่ที่ 2.3% และ 2569 ที่ 2.0% โดยคาดการณ์อัตราเติบโตเฉลี่ยในปี 2568 – 2571 อยู่ที่ 2.3%
S&P ระบุว่า แม้การดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัว แต่เศรษฐกิจยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก และเสถียรภาพการเมืองในประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ S&P หยิบยกขึ้นมาคือ ภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว โดยพบว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 24.1 ล้านคน ลดลงประมาณ 7.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม S&P ยังมองว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเศรษฐกิจในปี 2569 ประกอบกับรัฐบาลได้เร่งออกมาตรการส่งเสริมความเชื่อมั่นเพื่อเร่งการฟื้นตัว
ชี้หนี้รัฐเพิ่ม
S&P คาดการณ์ว่า หนี้ภาครัฐบาลสุทธิต่อ GDP (Net General Government Debt to GDP) ในปี 2568 และ 2569 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
ในขณะเดียวกัน S&P มองว่ารัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ซึ่งสะท้อนจากการลงทุนภาครัฐที่เติบโตแข็งแกร่งตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2567 โดยคาดว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (SOEs) และความร่วมมือรัฐ-เอกชน (PPP) จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุน และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล
จุดแข็งสำคัญที่ S&P เน้นย้ำคือ ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตั้งแต่ปี 2568 – 2571 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลเฉลี่ย 2.5% ของ GDP ประกอบกับประเทศไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง
ย้ำกรอบวินัยการคลัง MTFF สร้างความเชื่อมั่น
นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลได้วางกรอบแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium - Term Fiscal Framework: MTFF) ผ่าน 3 แนวทางหลัก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และสาธารณชน ได้แก่
1. กำหนดแนวทาง การจัดการด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สินให้ชัดเจน
2. เพิ่มกฎเกณฑ์การคลัง และยกระดับความโปร่งใสเกี่ยวกับต้นทุนการคลัง
3. วางแนวทางกำกับ มาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
ทั้งนี้ S&P ระบุว่าปัจจัยสำคัญที่จะติดตาม (Monitor) ในการจัดอันดับครั้งต่อไป คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับประเทศในระดับเดียวกัน, รายได้ต่อหัว และแนวโน้มการกลับเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







