'ทวีลาภ' ชี้โอกาสเศรษฐกิจฮาลาลเติบโตสูง หนุนไทยก้าวสู่ 'Muslim Friendly Country'

ดร.ทวีลาภ ชี้เศรษฐกิจฮาลาลคือพลังขับเคลื่อนระดับโลก ไทยต้องใช้จุดแข็ง "Muslim Friendly" ชิงโอกาสตลาดมุสลิมรุ่นใหม่ สร้างจุดขายประเทศ พัฒนาโอกาสเศรษฐกิจ
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจฮาลาลมีศักยภาพเติบโตสูงจากกำลังซื้อของประชากรมุสลิมซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
- ดร.ทวีลาภเสนอให้ไทยยกระดับสู่การเป็น “Muslim Friendly Country” เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยชูจุดแข็งด้านการเปิดรับวัฒนธรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง
- ตลาดฮาลาลที่สำคัญคือกลุ่มอาหารและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการสร้างแบรนด์แข่งขันในตลาดโลกมุสลิม
วันนี้ (12 พ.ย.) ในงานสัมมนา 55th Nation Group THAILAND’s NEW PROSPECT จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ “Halal Economy ขุมทรัพย์ใหม่ทางเศรษฐกิจ” ว่าประเทศไทย และผู้ประกอบการไทยต้องเปลี่ยน Mind Set เพื่อเข้าสู่มาตรฐานของฮาลาลที่มีการเติบโตมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องยกระดับเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการเป็น “Muslim friendly country”
โดยประเทศไทยมีจุดแข็งอย่างชัดเจนในการเป็น เป็นประเทศที่เปิดรับวัฒนธรรมอย่างจริงจัง นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้ชาวตะวันออกกลางมองประเทศไทยในแง่ดี มีหลักฐานที่ยืนยันความสนใจของตลาดนี้ เช่น การมีนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางมายัง กระบี่ กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ และข้อมูลที่ระบุว่าเป็นคลัสเตอร์ของชาวตะวันออกกลางที่ใหญ่ที่สุดรองจากดูไบนั้นตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ
ทั้งนี้เศรษฐกิจอิสลาม (Islamic Economy) หรือที่รู้จักกันในชื่อเศรษฐกิจฮาลาล ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมหาศาลที่ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ในปัจจุบัน 1 ใน 4 ของประชากรโลกคือชาวมุสลิม ทำให้เกิดกำลังซื้อขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจาก McKinsey ของโลกมุสลิมในการเก็บข้อมูลตลาดอิสลาม ชี้ให้เห็นว่า กำลังซื้อที่อยู่ในระบบการเงินอิสลามนั้นใหญ่โตมหาศาล
สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจฮาลาลคือ อาหาร รองลงมาคือเรื่อง ท่องเที่ยวและการเดินทาง และสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือประชากรมุสลิมส่วนใหญ่เป็น คนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อย นั่นหมายถึงโอกาสในการเติบโตและกำลังซื้อในอนาคตมีสูงมาก นอกจากจำนวนประชากรแล้ว ตลาดอิสลามยังมีแนวโน้มเติบโตสูงในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแหล่งที่มีความต้องการกำลังซื้ออีกมหาศาล
“เศรษฐกิจอิสลามนั้นเป็นมากกว่าการบริโภคทั่วไป แต่เป็น เศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานของศรัทธา หัวใจหลักของอิสลามคือการมีชีวิตที่พอเพียง และหลักการของการเงินที่ไม่พึ่งพาระบบดอกเบี้ย แนวคิดเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับเรื่องของ ความยั่งยืนและความพอเพียง ที่สังคมโลกสมัยใหม่กำลังให้ความสำคัญ ผู้บริโภคมุสลิมในปัจจุบันมีความคุ้นเคยกับ เทคโนโลยีดิจิทัล ไม่ต่างจากผู้บริโภคในประเทศอื่นๆ ทำให้กำลังซื้อของตลาดกลุ่มนี้มีพลวัตสูงและขับเคลื่อนด้วยเทรนด์ใหม่ๆ”
ดร.ทวีลาภกล่าวว่าอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองคือ การเริ่มมีความรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแบรนด์ที่เป็นของตะวันตก (West) ทำให้แบรนด์เล็ก ๆ กำลังทยอยสร้างการรับรู้และกำลังซื้อในตลาดอาหรับ ซึ่งเป็นโอกาสที่ไทยต้องหาทางสร้างแบรนด์ไปแข่งขันกับกระแสใหม่ ๆ เหล่านี้ นอกจากนี้ ภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจอิสลามอย่างแยกไม่ออก
“ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยในฐานะที่เป็น Islamic Bank พยายามทำตัวเป็น "ตัวเชื่อม" ในโลกของการเงินอิสลาม และถือเป็น "ประตูสำหรับประเทศไทยที่เปิดไปสู่โลก" เพื่อทำให้การค้า (Trade) และการลงทุน (Investment) เชื่อมโยงกันได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับเครือข่ายธนาคารอิสลามใน ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งแก่น (core) ของความเป็นอิสลามิกคือ ความรู้สึกเป็นพี่น้องหรือ community ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ” ดร.ทวีลาภ กล่าว







