ไทยขึ้นแท่นผู้นำ 'ฮาลาลโลก' คณะกรรมการกลางอิสลามฯ ยืนยันโลโก้เดียวขายได้ทั่วโลก!

ณรงค์เดช สุขจันทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เผยว่า มาตรฐานฮาลาลไทยภายใต้ชื่อ The Central Islamic Council of Thailand ไม่ได้เป็นเพียงฮาลาลของมุสลิมในประเทศ แต่คือ “ฮาลาลของประเทศไทย” ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากทั่วโลกมานานกว่า 70 ปี
วันนี้ (12 พ.ย.) ในงานสัมมนา 55th Nation Group THAILAND’s NEW PROSPECT จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ นายณรงค์เดช สุขจันทร์ รองเลขาธิการ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รองประธานฝ่ายกิจการฮาลาล กล่าวในหัวข้อ “Halal Economy ขุมทรัพย์ใหม่ทางเศรษฐกิจ” ว่ามาตรฐานฮาลาลที่ผ่านการรับรองในประเทศไทยนั้น ไม่ใช่ฮาลาลของมุสลิมในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นฮาลาลของประเทศไทยทั้งหมด ภายใต้ชื่อว่า "The Central Islamic Council of Thailand" ซึ่งหมายถึงมาตรฐานนี้เป็นการรับรองฮาลาลของประเทศไทย โดยความน่าเชื่อถือของมาตรฐานฮาลาลไทยมีรากฐานมายาวนาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2492 หรือเมื่อ 70 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่อาจจะยาวนานที่สุดเมื่อเทียบกับการศึกษาและพูดคุยกับหลายประเทศ
โดยองค์กรที่บริหารเครื่องหมายฮาลาลคือ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และเป็น โลโก้ฮาลาลเดียวของประเทศไทย ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้บนบรรจุภัณฑ์ได้ ทั้งนี้ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจคือ โลโก้นี้สามารถนำไปขายได้ทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่น (trust) ที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งการันตี ว่าสินค้าฮาลาลไทยสามารถส่งออกไปได้ใน ทุกประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นตลาดมุสลิม เช่น อาหรับ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือประเทศที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม
“ปัจจุบัน ประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสูง โดยมีจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองประมาณ 10,000 ราย และมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 200,000 รายการ ซึ่งถือว่าอยู่ใน อันดับต้น ๆ ของโลก นอกจากนี้ องค์กรจากทั่วโลกยังได้มาตรวจสอบและให้การยอมรับมาตรฐานไทยแล้ว อาทิ UAE, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และ ตุรกี”นายณรงค์เดช กล่าว
ทั้งนี้แม้ว่าหลายฝ่ายอาจมองว่าประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ ไม่ใช่ประเทศมุสลิม (non-Muslim) อาจมีเครดิตที่น้อยในการผลิตสินค้าฮาลาล แต่ประเทศไทยก็มีโอกาสอีกมากเพราะสามารถใช้กลยุทธ์หลัก คือการใช้สถานะที่ประเทศไทยเป็น "ครัวโลก" ในการผลิตอาหาร โจทย์สำคัญคือการทำอย่างไรให้ผู้บริโภคต่างชาติเชื่อมั่นในอาหารที่ไทยผลิตและสามารถรับประทานได้
เนื่องจากประเทศไทยเป็น "ครัวโลก" สินค้าที่ผลิตจากไทยจึงถูกส่งไปทั่วโลก แต่การผลิตนั้นต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ (raw materials) และส่วนผสม (ingredients) ต่าง ๆ เข้ามาประกอบอาหาร กลยุทธ์สำคัญจึงอยู่ที่การยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งหลายประเทศทั่วโลก อาจไม่สามารถผลิตอาหารสำเร็จรูปได้ แต่สามารถผลิตวัตถุดิบอื่น ๆ เช่น สารเคมี หรือผลผลิตทางการเกษตรได้ (เช่น เยอรมัน หรือออสเตรเลีย) และต้องส่งมาให้ประเทศไทยเพื่อผลิตเป็นอาหารสำเร็จรูป ในทางกลับกัน ประเทศอาหรับส่วนใหญ่มักเป็นผู้ซื้อและบริโภคเท่านั้น
ปัจจุบันจึงเน้นยุทธศาสตร์การสร้างความร่วมมือและการยอมรับซึ่งกันและกันนี้ ทำให้องค์กรทั่วโลกให้การยอมรับฮาลาลประเทศไทย ล่าสุดในการจัดงาน Grand Halal เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีองค์กรที่ทำความร่วมมือกับไทยรวม 156 องค์กร จาก 54 ประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นว่าฮาลาลไทยสามารถ สร้างมูลค่าให้กับสินค้า ขององค์กรเหล่านั้นได้ การมีองค์กรต่าง ๆ ทยอยมาทำความร่วมมือถือเป็น ยุทธศาสตร์ ที่ช่วยให้ฮาลาลไทยได้รับการยอมรับทั่วโลก
ทั้งนี้ในด้านนโยบายของภาครัฐนั้นทำไปพอสมควรในการส่งออกอาหารฮาลาลไปทั่วโลกได้ แต่นโยบายสำคัญคือทำให้อย่างไรให้ผู้ประกอบการฮาลาลไทยไปสู่เวทีโลกได้อย่างสง่างาม ทั้งในเรื่องความรู้และเงินทุน เพราะฮาลาลนั้นครอบคลุมเศรษฐกิจทุกขนาดตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับธุรกิจขนาดใหญ่ โดยไทยสามารถที่ก้าวไปสู่เวทีธุรกิจฮาลาล ที่จะขยายไปทั่วโลกและนำเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศไทยได้มากขึ้น







