สศอ. ปักหมุด 'ฮาลาลอีโคโนมี' เครื่องจักรใหม่ดัน GDP โต เคลื่อนด้วย 3 กลไกหลัก

สศอ. ปักหมุด “ฮาลาลอีโคโนมี” เครื่องจักรใหม่ดันจีดีพี ตั้งเป้าขับเคลื่อนด้วย 3 กลไก : ดีมานด์–ซัพพลาย–อีโคซิสเต็ม
KEY
POINTS
- สศอ. กำหนดให้อุตสาหกรรมฮาลาลเป็น "เครื่องจักรใหม่" ในการขับเคลื่อน GDP ภาคอุตสาหกรรม โดยชี้ว่าไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเนื่องจากมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพียง 1.6%
- ตั้งเป้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจฮาลาลผ่าน 3 กลไกหลัก ได้แก่ ด้านดีมานด์ (ส่งเสริมการค้าและสร้างการรับรู้ในตลาดโลก), ด้านซัพพลาย (ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการผลิต) และด้านอีโคซิสเต็ม (เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน)
- แผนพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลระยะแรก (พ.ศ. 2567–2570) ถูกจัดทำขึ้นเพื่อผลักดันไทยสู่การเป็น "ศูนย์กลางฮาลาล" ผ่านนโยบาย Quick–Big–Win
- แม้มีความท้าทายด้านมาตรฐานและแรงงาน แต่ สศอ. ย้ำว่าฮาลาลเป็นของคนไทยทั้งประเทศ และเสนอให้มี "ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ" เพื่อสร้างมาตรฐานและบูรณาการการทำงานอย่างเป็นระบบ
นายภัทรพล ลิ้มภักดี รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวในเวทีเสวนา Panel Discussion : Halal Economy ขุมทรัพย์ใหม่ทางเศรษฐกิจ จัดโดย "เนชั่น กรุ๊ป" ว่า อุตสาหกรรมฮาลาลถือเป็น “เครื่องจักรใหม่” ที่มีศักยภาพช่วยขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอุตสาหกรรม (GDP) ของประเทศ หลังจากที่ไทยยังมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าและบริการฮาลาลเพียง 1.6% ของตลาดโลก ซึ่งสะท้อนถึง “ช่องว่างทางโอกาส” ขนาดใหญ่ที่สามารถต่อยอดได้
สำหรับโครงสร้างอุตสาหกรรมฮาลาลไม่ได้จำกัดเพียงอาหารเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมหลายมิติ เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เวลเนส ท่องเที่ยว แฟชั่น ยา และเครื่องสำอาง ซึ่งไทยมีจุดแข็งทั้งในด้าน “ผลิตภัณฑ์” และ “ซัพพลายเชน” ที่เกี่ยวเนื่องอยู่แล้วในหลายเซกเตอร์
“หากมองจากตัวเลขตลาดโลก จะเห็นว่าเรายังมีพื้นที่อีกมากให้เครื่องจักรใหม่นี้ขับเคลื่อนได้จริง หากวางระบบสนับสนุนครบทั้งดีมานด์ ซัพพลาย และอีโคซิสเต็ม” นายภัทรพล กล่าว
ทั้งนี้ สศอ. ได้จัดทำ แผนพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลระยะเฟสแรก (พ.ศ. 2567–2570) โดยกำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ และตัวชี้วัดเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฮาลาลไทยอย่างเป็นระบบ ผ่าน 3 มาตรการหลัก คือ
1. ด้านดีมานด์ ส่งเสริมการค้าและสร้างการรับรู้ในตลาดโลก เพื่อให้สินค้าและบริการฮาลาลของไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล
2. ด้านซัพพลาย ยกระดับคุณภาพสินค้าและกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงคำนึงถึงแนวโน้มใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตแบบโลว์คาร์บอนและการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการส่งออกในอนาคต
3. ด้านอีโคซิสเต็ม เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และพัฒนากลไกสนับสนุนให้สอดรับกับนโยบาย Quick–Big–Win ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว
นายภัทรพล กล่าวว่า จุดแข็งสำคัญของไทยคือการมีฐานวัตถุดิบเกษตรที่หลากหลาย ระบบอุตสาหกรรมแปรรูปที่เข้มแข็ง และการมี สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือด้านมาตรฐานฮาลาล ขณะเดียวกัน “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” ก็สามารถนำมาใช้ต่อยอดได้ โดยเฉพาะด้านอาหาร แฟชั่น และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ยังมีความท้าทายหลายด้านที่ต้องเร่งพัฒนา ทั้งเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ การสอดคล้องกับมาตรฐานฮาลาลของประเทศคู่ค้า รวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ความเข้าใจหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผลิตสินค้าให้ถูกต้องตามหลักศาสนา
“เราต้องเข้าใจระบบฮาลาลอย่างลึกซึ้ง เพราะมันไม่ใช่แค่ตราสัญลักษณ์รับรอง แต่คือความเชื่อ ความไว้วางใจ และจริยธรรมทางเศรษฐกิจ หากเราทำได้ครบ ไทยจะกลายเป็นประเทศที่โลกยอมรับในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจฮาลาลของภูมิภาค” นายภัทรพล กล่าว
นายภัทรพล กล่าวว่า “ฮาลาลไม่ใช่ของมุสลิมไทย แต่เป็นของคนไทยทั้งประเทศ” สิ่งที่ภาครัฐต้องทำคือการสร้างกลไกและชี้นำแนวทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตเป็นหนึ่งใน “เอส-เคิร์ฟใหม่ของประเทศ”
“เราจำเป็นต้องวางกรอบและสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐานฮาลาลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ควบคู่กับการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในสินค้าไทย อนาคตอาจต้องมี ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อน ไม่ใช่ต่างคนต่างเดิน ต่างหน่วยต่างทำ ขอย้ำว่าฮาลาลคือของคนไทย และต้องเป็นกลไกเศรษฐกิจใหม่ที่ทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดัน” นายภัทรพล กล่าว







