ซื้อหนี้...เพื่อใคร?! | มองโลกมองเรา

จากกรณี ครม.เศรษฐกิจมีมติช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ด้วยการซื้อหนี้ NPL จากแบงก์ 4.76 ล้านบัญชี โดยใช้แหล่งเงินหลักจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF)
แม้นโยบายซื้อหนี้รายย่อยดังกล่าว มองผิวเผินอาจเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ความจริงแล้วเป็นนโยบายประชานิยม ที่อาจนำมาซึ่งวิกฤติของสถาบันการเงิน และหายนะของประเทศในอนาคต
ประการแรก การปรับโครงสร้างหนี้โดยสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ลดเงินต้น ยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญ ฯลฯ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของสถาบันการเงินของรัฐแต่ละแห่ง ทำให้ในที่สุดประชาชนทุกคนทั้งที่เข้าร่วมและไม่ได้เข้าร่วมโครงการต้องร่วมกันรับผิดชอบผ่านการจ่ายภาษี ยังผลให้งบประมาณการใช้จ่ายของภาครัฐ และหนี้สาธารณะทะยานสูงขึ้น
ประการต่อมา โครงการนี้ประมาณ 60% เป็นการช่วยลดหนี้เสียให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเอกชน เพื่อให้มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งกว่าเดิม อย่างไรก็ดี ผู้บริหารประเทศต้องตระหนักว่า การกู้เป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ เมื่อเจ้าหนี้ให้สินเชื่อโดยหวังกำไรจากดอกเบี้ย ก็ต้องพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องเข้าแทรกแซงด้วยการนำเงินที่ธนาคารพาณิชย์มีหน้าที่นำส่ง FIDF ไปถลุง
เมื่อพิจารณาปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น มาจากการที่สถาบันการเงินส่งเสริมให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ตนเอง โดยไม่ต้องมีหลักประกัน สอดคล้องกับผลการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่พึ่งเปิดเผยเมื่อปลายเดือนกันยายนพบว่า หนี้ส่วนใหญ่ถึง 46.8 % เป็นหนี้บัตรเครดิต
บทสัมภาษณ์เผยแพร่โดยธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า คนไทยในปัจจุบันมีพฤติกรรมเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ประชาชนบางส่วนมีหนี้เสียจากการใช้จ่ายเกินตัวในเรื่องอุปกรณ์แต่งรถ การท่องเที่ยว ฯลฯ
การที่รัฐบาลมีนโยบายซื้อหนี้จากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ทำให้ประชาชนย่อมคาดหมายว่า พรรคการเมืองจะชูนโยบายซื้อหนี้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เช่น วันที่ 4 พ.ย.2568 หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้ชูนโยบายล้างหนี้สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าแล้ว
ส่งผลให้คนที่มิได้เป็นหนี้ หรือเป็นหนี้ในจำนวนที่ไม่มาก จะหันมาก่อหนี้เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์จากความช่วยเหลือตามนโยบายของรัฐเต็มจำนวน ในขณะที่สถาบันการเงินก็จะยิ่งปล่อยให้ลูกค้ารายใหม่เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
ทั้งหมดนี้จะซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือน ตลอดจนปัญหาทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่มีคุณภาพและไร้ความรับผิดชอบของประเทศให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนท้ายที่สุดอาจจบลงด้วยวิกฤติเศรษฐกิจครั้งร้ายแรง การล้มลงของสถาบันการเงินจำนวนมาก ดังเช่นเหตุการณ์ The Great Depression ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสาเหตุสำคัญประการหนึ่งจากการปล่อยกู้อย่างหละหลวมของสถาบันการเงิน
เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศมีเสถียรภาพและมั่นคงอย่างยั่งยืน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะสั้นเห็นควรจำกัดเฉพาะผู้มีรายได้น้อย พร้อมการให้องค์ความรู้และเครื่องมือเพื่อสร้างรายได้ สำหรับในระยะยาว รัฐมีหน้าที่จัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ให้ทรัพยากรมนุษย์มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เป็นคนดีมีความสามารถ ขยันอดออม มีวินัยทางการเงิน
ขณะเดียวกัน รัฐต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ขจัดระบบเส้นสาย เพื่อให้คนไทยมีกำลังใจที่จะพัฒนาศักยภาพ สร้างความเจริญให้ทั้งตนเองและประเทศชาติต่อไป







