ครม. เห็นชอบ นำร่องเปิดเสรีข้าวโพดสหรัฐ นายกฯสั่งเยียวยาเกษตรกร

ครม. เห็นชอบ นำร่องเปิดเสรีข้าวโพดสหรัฐ  นายกฯสั่งเยียวยาเกษตรกร

ครม.อนุมัติเพิ่มโควตาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เปิดทางนำเข้าจากสหรัฐ 1 ล้านตัน ภาษี 0% เริ่ม 1 ก.พ.69 ’อนุทิน‘ สั่งหามาตรการเยียวยาเกษตรกร “ธรรมนัส” ห่วงราคาในประเทศร่วง ย้ำใช้มาตรการตรวจสอบย้อนกลับเข้มข้น “พาณิชย์” ชี้ช่วยเพิ่มวัตถุดิบ “สมาคมอาหารสัตว์” มั่นใจไม่กระทบเกษตรกร ผลผลิตในประเทศไม่พอ เปิดช่องซื้อแทนข้าวสาลี การันตีรับซื้อในประเทศ กก.ละ 9.80 บาท

ไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ หลังจากมีข้อสรุปเก็บภาษีตอบโต้ (Reciproc al Tariff) สินค้านำเข้าจากไทยเพิ่ม 19% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 โดยไทยได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐเพื่อลดการได้ดุลการค้า

ที่ผ่านมาไทยยื่นข้อเสนอเพิ่มนำเข้าสินค้าหลายสาขา ซึ่งสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และธัญพืชแห้ง (DDGS)  นำเข้ามูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี 

สาขาพลังงานจะการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) น้ำมันดิบ และอีเทน มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์ 80 ลำ รวมมูลค่า 18.8 พันล้านดอลลาร์

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 เห็นชอบให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามข้อเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐในอัตราภาษี 0% ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติตามเงื่อนไขการค้าไทย-สหรัฐ โดยเหตุผลสำคัญที่เลือกเปิดนำเข้าจากสหรัฐเพราะปี 2568 มีความต้องการ 9.2 ล้านตัน แต่ไทยผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบเพิ่มโควต้านำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2569 จากเดิมมีโควตาการนำเข้า 54,700 ตัน ในอัตราภาษี 20% เพิ่มเป็น 1 ล้านตัน ในอัตราภาษี 0%

สำหรับการเพิ่มโควตาดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลงทางการค้าที่ไทยเจรจากับสหรัฐในภาษีศุลกากร และเงื่อนไขนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐปริมาณ 1 ล้านตัน 

“เป็นข้อตกลงที่ไทยได้ทำไว้กับสหรัฐตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่าข้อตกลงนี้ช่วยให้ไทยมีวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น จากเดิมผลผลิตไม่เพียงพอ และการนำเข้าจากสหรัฐเป็นการนำเข้าจากแหล่งวัตถุดิบที่มีราคาถูก” นายสิริพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ครม.แสดงความเห็นผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี สั่งการให้เตรียมมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบ 

ขณะที่ นายธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ขอสงวนความเห็นในการประชุม ครม.ว่ากระทรวงเกษตรฯ ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพราะกระทบเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 

ครม. เห็นชอบ นำร่องเปิดเสรีข้าวโพดสหรัฐ  นายกฯสั่งเยียวยาเกษตรกร

รวมทั้งขอให้รับข้อเสนอลดระยะเวลาเปิดโควตาการนำเข้า เพื่อไม่ให้กระทบราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศจากเดิมที่เปิดตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.-31 ส.ค.เป็น 1 ก.พ.-30 มิ.ย.ซึ่ง ครม.รับแนวทางนี้ไปดำเนินการด้วย

“กรอบโควตาเดิมกำหนดไว้ เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะเริ่มออกเดือน ก.ย.-ธ.ค.จึงให้นำเข้าช่วงที่ไทยไม่มีผลผลิต แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กังวลจึงขอปรับเกณฑ์เป็นเปิดโควตาให้นำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐเข้ามาช่วงผลผลิตไทยจะออก 2 เดือน ซึ่งจะช่วยตรึงราคาได้ แม้มาตรการนี้เป็นผลกระทบจากการต่อรองภาษี แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะบริหารจัดการให้มีผลกระทบเกษตรกรน้อยสุด”

 

ตั้งเงื่อนไขรับซื้อผลผลิตในประเทศ 

ขณะเดียวกันยังเสนอให้ปรับสัดส่วนสำหรับผู้นำเข้าจากเดิมเป็นภาครัฐที่มีโควตานำเข้า โดยปรับเป็นภาคเอกชนมีโอกาสนำเข้าได้ แต่มีเงื่อนไข 3 ต่อ 1 คือ ต้องซื้อผลผลิตในประเทศก่อน 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน 

ยกตัวอย่าง กรณีนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ 100 กิโลกรัม ผู้นำเข้าต้องมีสัญญาซื้อข้าวโพดในไทยก่อน 300 กิโลกรัม ซึ่งกลไกดังกล่าวจะเป็นช่วยรักษาเสถียรภาพและช่วยเกษตรกรได้

นอกจากนี้ ครม.อนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2568/69 จำนวน 3 มาตรการ (4 โครงการ) วงเงิน 244.5 ล้านบาท แบ่งเป็น

1.มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2568/2569 จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 55 ล้านบาท 

2.มาตรการเพิ่มช่องทางการตลาด วงเงิน 51.5 ล้านบาท 

3.มาตรการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์วงเงิน 138 ล้านบาท

“ธรรมนัส”ห่วงนำเข้าฉุดราคาในประเทศ

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงกรณีไม่เห็นด้วยในการประชุม ครม.กรณีการขยายโควตาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็น 1 ล้านตัน ตามข้อตกลงภาษีและการค้าที่ไทยทำกับสหรัฐว่า เป็นห่วงผลกระทบกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ และเป็นจุดยืนของกระทรวงเกษตรฯ มาตลอดที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยมี 2 ประเด็นที่จะมีผลกระทบตามมามาก คือ

1.ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่จะราคาตกต่ำลงเมื่อมีการนำเข้ามาจำนวนมาก โดยปัจจุบันราคาในประเทศถือว่าตกต่ำมากอยู่แล้ว การนำเข้าเพิ่มเติมจะยิ่งทำให้ราคาตกต่ำลง ซ้ำเติมความเดือดร้อนของเกษตรกรไทยได้

2.ข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) ที่หากนำมาใช้เลี้ยงสัตว์แล้ว ซึ่งอาจกระทบต่อประเทศคู่ค้าที่ต่อต้าน GMO ทำให้สินค้าเกษตรของไทยอาจไม่ได้รับการยอมรับและไม่รับซื้อจากประเทศเหล่านั้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกปศุสัตว์ของไทยได้

ทั้งนี้สำหรับโควตาภายใต้ข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีอยู่เดิมนั้น กระทรวงได้เสนอขอความเห็นชอบต่อ ครม.ให้จำกัดระยะเวลาการนำเข้าจากเดิมที่วางกรอบตั้งแต่ 1 ก.พ.ถึง 31 ส.ค.เหลือเพียง 1 ก.พ.ถึง 30 มิ.ย.เท่านั้น เนื่องจากเกษตรกรไทยเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวโพดตั้งแต่เดือน ก.ค.จึงได้เสนอให้ย่นระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลง ซึ่ง ครม.เห็นชอบตามที่เสนอ

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ จะใช้มาตรการตรวจสอบย้อนกลับอย่างเข้มข้นสำหรับข้าวโพดที่นำเข้า โดยใช้อำนาจตามกฎหมายไทยในการควบคุม และยืนยันว่าไม่มีใครห้ามการใช้กฎหมายนี้ได้

“การใช้นโยบายที่ชัดเจนในการตรวจสอบย้อนกลับเข้มข้น และห้ามนำเข้าข้าวโพดจากพื้นที่ที่มีการเผาเด็ดขาด เพื่อติดตามแหล่งที่มาและควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐาน ส่วนการนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงที่ทำไว้ตั้งแต่รัฐบาลก่อนนั้น กระทรวงเกษตรฯ ยังคงจุดยืนเดิมในการคัดค้าน และจะใช้มาตรการตรวจสอบย้อนกลับอย่างเข้มข้น” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว

ผู้ผลิตอาหารสัตว์ชี้ไม่กระทบเกษตรกร 

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และเลขาธิการสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า  กล่าวว่า  มติ ครม.ดังกล่าวไม่กระทบเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ เนื่องจากต้องนำเข้าช่วงผลผลิตไทยไม่มี อีกทั้งต้องรับซื้อผลผลิตในประเทศตามอัตราที่กำหนดในปี 2568 คือ กิโลกรัมละ 9.80 บาท

ทั้งนี้ แต่ละปีผลผลิตในประเทศไม่พอความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยปี 2568 มีความต้องการ 9.2 ล้านตัน แต่ไทยผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นทุกปี และส่งผลสะท้อนไปยังเนื้อสัตว์ที่มีต้นทุนสูงขึ้นเช่นกัน สวนทางการควบคุมราคาของวัตถุดิบต้นน้ำและปลายน้ำของหน่วยงานภาครัฐ

กรณีนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าวเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการระหว่างการนำเข้าข้าวสาลีภายใต้ข้อกำหนดผู้ประกอบการซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน จึงจะมีสิทธิ์นำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน 

ดังนั้นทางเลือกใหม่ที่เปิดให้ซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สหรัฐ หากมีราคาถูกกว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ถูกลง แต่โดยรวมแล้วการนำเข้าดังกล่าวยังอยู่ในกรอบความต้องการใช้ที่มีอยู่เดิมเท่านั้น

สำหรับสถานการณ์การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามการพยากรณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) แจ้งว่า ปี 2568 จะมีพื้นที่เพาะปลูก 6.71 ล้านไร่ เพิ่มขึ้น 6.68% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา คาดว่าให้ผลผลิต 5.32 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8.23% ผลผลิตต่อไรเฉลี่ย 794 ต่อไร่

ทั้งนี้เนื้อที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 1 คาดว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากปี 2568 มีปริมาณน้ำฝนตกต่อเนื่องตั้งแต่ต้นฤดูกาลเพาะปลูก ส่งผลให้มีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก เกษตรกรจึงขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทนพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง

ครม. เห็นชอบ นำร่องเปิดเสรีข้าวโพดสหรัฐ  นายกฯสั่งเยียวยาเกษตรกร

คาดพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเพิ่มขึ้น 

อีกทั้งเกษตรกรบางส่วนปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังโรงงานมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทน จากราคามันสำปะหลังโรงงานที่ปรับตัวลดลงและได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคใบด่าง นอกจากนี้ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงฤดูกาลเพาะปลูกเอื้อให้เกษตรกรบางพื้นที่สามารถปลูก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 1 ได้ถึง 2 รอบ

ส่วนเนื้อที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 2 คาดว่าเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกัน เพราะภาครัฐมีมาตรการกำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หน้าโรงงาน 9.80 บาทต่อ กก.ทำให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่เกณฑ์ดี ประกอบกับราคาข้าวเปลือกลดลงทำให้เกษตรกรบางพื้นที่เปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทน

สำหรับผลผลิตต่อไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คาดว่าเพิ่มขึ้นทั้ง 2 รุ่น เพราะมีปริมาณน้ำพอตลอดฤดูกาลเพาะปลูก อีกทั้งเกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์เอกชนคุณภาพดีที่ให้ผลผลิตสูง และมีความต้านทานโรคได้ดีขึ้น ประกอบกับเกษตรกรควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตต่อไร่