โจทย์ที่ต้องเลือก FIDF ยืดเวลาคืนหนี้เติมเลือดศก.ไทย

โจทย์ที่ต้องเลือก FIDF ยืดเวลาคืนหนี้เติมเลือดศก.ไทย

เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญโจทย์ท้าทายครั้งใหญ่ท่ามกลางการฟื้นตัวที่แผ่วเบา แถมเงินเฟ้อยังติดลบต่อเนื่องจนหลายคนตั้งข้อสันนิษฐานว่า เรากำลังเข้าสู่ “ยุคเงินฝืด” หรือไม่?…

    ที่หนักและแย่ไปกว่านั้น คือ “สินเชื่อ” ซึ่งเปรียบเสมือนกับเส้นเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทย กำลังติดลบในทุกกลุ่มธุรกิจ อันเนื่องจาก “ต้นทุนเครดิต” ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม(SMEs)
    เศรษฐกิจไทยที่สินเชื่อโตต่ำซึ่งระยะหลังหนักถึงขั้นหดตัว จึงไม่ต่างอะไรกับคนป่วยที่ขาดเลือดหรือเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ ส่งผลต่อภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้ SMEs หลายกิจการกลายสภาพเป็น “ซอมบี้” หรือธุรกิจที่ยังดำเนินอยู่แต่ขาดศักยภาพการแข่งขัน” เข้าไม่ถึงแหล่งทุนที่จะนำไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงต้องงัดนโยบาย “Quick Big Win” ในเสาหลักที่ 3 ออกมา เพื่ออัดฉีดแรงพยุงให้เครื่องยนต์ฐานรากกลับมาทำงาน ก่อนที่ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจจริงจะทรุดตัวไปมากกว่านี้

    หัวใจของนโยบายในเสานี้ คือ กลไกค้ำประกันสินเชื่อ “รูปแบบใหม่” ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันออกแบบให้ใช้งานง่าย เข้าถึงง่าย เป็น "Simplified Version" เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนเครดิต (Credit Cost) ที่สูงถึง 10–20% ในภาค SMEs โดยมุ่งลดภาระความเสี่ยงของธนาคาร หากเกิดหนี้เสีย เพื่อให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น กลไกนี้ตั้งเป้าเริ่มในกลุ่มสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ครอบคลุม 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เกษตร อาหาร ยานยนต์ และท่องเที่ยว เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแนวทาง “Reinvent Thailand”

    แต่สิ่งที่เป็นทั้ง “จุดแข็ง” และ “จุดเสี่ยง” ของมาตรการนี้ คือ แหล่งเงินที่ใช้มาจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) โดยรัฐบาลมีแนวคิดแบ่งเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์ออกมาครึ่งหนึ่ง หรือราว 0.23% เพื่อจัดตั้งเป็น “กองกลาง” คิดเป็นวงเงินประมาณ 4 หมื่นล้านบาท แม้การใช้เงินก้อนนี้จะไม่กระทบเพดานหนี้สาธารณะ และไม่ใช่เงินภาษีประชาชน แต่ก็เท่ากับ “ยืมเวลาแห่งความมั่นคง” ของระบบการเงินในอนาคตมาใช้ก่อน เพราะเงินกองทุนนี้มีหน้าที่หลักในการล้างหนี้ที่เกิดจากวิกฤติปี 2540 การเบิกใช้วันนี้อาจต้องแลกด้วยการยืดเวลาชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ จาก 6 ปี ออกไปมากกว่า 10 ปี
    ต้องบอกว่านี่คือการตัดสินใจเชิงนโยบายที่เต็มไปด้วยการชั่งน้ำหนัก ระหว่างการเติม “สภาพคล่องวันนี้” กับ “เสถียรภาพวันหน้า” หากการใช้เงินครั้งนี้ช่วยเติมเลือดให้เศรษฐกิจไทย หนุนธุรกิจ SMEs กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งก็ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่หากกลไกที่ว่านี้ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีออกมาได้ ในทางกลับกันก็จะยิ่งเพิ่มภาระการเงินของประเทศในระยะยาวด้วย ความสำเร็จของโครงการนี้จึงขึ้นกับการออกแบบให้แหล่งเงินเข้าถึงธุรกิจที่ “เหมาะสม” และ “ควรได้” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย