ธุรกิจค้าปลีก…ที่ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไป | มุมมองบ้านสามย่าน

ธุรกิจค้าปลีก…ที่ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไป | มุมมองบ้านสามย่าน

หลังจากประสบปัญหาภาวะหนี้สินจากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง กลุ่มเซ็นทรัลและกลุ่มซีพีจึงตัดสินใจขายกิจการธุรกิจค้าปลีกบางส่วนให้กลุ่มทุนต่างชาติเพื่อรักษาสภาพคล่อง

ส่งผลให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่โดยเฉพาะห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อขยายตัวอย่างรวดเร็ว 

แม้ต่อมากลุ่มทุนต่างชาติจะถอนการลงทุนออกไปแล้ว กลุ่มเซ็นทรัลและกลุ่มซีพี รวมถึงกลุ่มทีซีซี ก็ได้เข้าซื้อกิจการค้าปลีกกลับคืนมาแล้วควบรวมกิจการ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกของไทยและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของร้านโชห่วย

บทความชิ้นนี้จะพาไปทำความเข้าใจถึงลักษณะการสะสมทุนในธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มทุนรายใหญ่ของไทย ตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งจนถึงปัจจุบัน ที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของร้านค้าปลีกสมัยใหม่

การศึกษาประเด็นดังกล่าวในวิทยานิพนธ์ “ลักษณะการสะสมทุนของกลุ่มทุนค้าปลีกรายใหญ่ของไทย ตั้งแต่ปี 2545-2565: กรณีศึกษา กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มทีซีซี” ผู้เขียนพบว่าการสะสมทุนในธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มทุนรายใหญ่ของไทยประกอบไปด้วย 6 ลักษณะ ดังนี้

1.ขยายสาขาในประเทศ กลุ่มทุนรายใหญ่ของไทยมีการขยายสาขาของร้านค้าปลีกออกไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่กลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาบริหารร้านค้าปลีกในประเทศไทย กลุ่มทุนรายใหญ่ของไทยได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มทุนต่างชาติ ด้วยการช่วยหาทำเลที่เหมาะสมเพื่อเร่งขยายสาขาของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ออกสู่ต่างจังหวัด

นอกจากนี้ได้มุ่งเน้นไปที่การขยายสาขาร้านค้าขนาดเล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากใช้ต้นทุนไม่มาก มีระยะเวลาคืนทุนไม่นาน หาทำเลได้ง่ายและสามารถเปิดทำการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งชุมชนและผู้บริโภคได้ง่าย และถึงแม้กลุ่มทุนต่างชาติจะถอนการลงทุนออกไป กลุ่มทุนรายใหญ่ไทยก็ยังคงใช้กลยุทธ์นี้ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

2.พัฒนาเทคโนโลยี กลุ่มทุนต่างชาติได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทันสมัย เช่น ระบบ EDI และระบบ POS เข้ามาใช้ในการบริหารกิจการร้านค้าปลีกในประเทศไทยด้วย รวมถึงมีการก่อตั้งศูนย์กระจายสินค้า ทำให้กลุ่มทุนไทยซึ่งเป็นพันธมิตรได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นไปด้วย ส่งผลให้หลังจากที่กลุ่มทุนต่างชาติถอนการลงทุนออกไปแล้ว

กลุ่มทุนไทยยังคงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับใช้ในการบริหารกิจการร้านค้าปลีกได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ให้กับผู้บริโภค การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ช่วยให้กลุ่มทุนรายใหญ่สามารถบริหารร้านค้าปลีกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

3.สะสมเครือข่ายทางการเมือง กลุ่มทุนรายใหญ่ของไทยได้เชิญข้าราชการระดับสูงที่เกษียณอายุแล้วเข้ามาร่วมเป็นกรรมการบริหาร ทำให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและแม่นยำในกฎระเบียบราชการ เอื้อต่อการวางแผนและจัดทำข้อเสนอในการทำธุรกิจ นอกจากนี้ กลุ่มทุนไทยได้รับความไว้วางใจและเป็นที่ยอมรับจากภาครัฐให้เข้าไปทำงานเป็นคณะทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่สำคัญจำนวนหนึ่ง 

เช่น กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้าร่วมโครงการเปิดศูนย์บริการประชาชนร่วมในห้างสรรพสินค้า กลุ่มซีพีและกลุ่มทีซีซีได้เข้าร่วมโครงการประชารัฐ ส่งผลให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้ เช่น กลุ่มเซ็นทรัลได้รับอนุญาตให้เช่าที่ดินบริเวณถนนพหลโยธินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อประกอบกิจการศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เป็นต้น

4.สะสมจากส่วนเกินของซัพพลายเออร์ กลุ่มทุนรายใหญ่มีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง ซึ่งเป็นผลมาจากการมีสาขาจำนวนมาก ทำให้กลุ่มทุนรายใหญ่สามารถสร้างเงื่อนไขที่ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในการสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ได้

เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าส่งเสริมการขาย และการเรียกร้องส่วนลด เป็นต้น ทำให้กลุ่มทุนรายใหญ่สั่งสินค้าได้ถูกลง อีกทั้งยังมีการสร้าง House Brand ออกมาวางขายในร้าน ช่วยลดการพึ่งพาสินค้าจากซัพพลายเออร์

5.พัฒนาแรงงาน กลุ่มทุนรายใหญ่มีการจ้างงานและพัฒนาแรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยมีการฝึกอบรมพนักงาน รวมถึงจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น กลุ่มซีพีได้จัดตั้งสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยกำหนดให้นักเรียนนักศึกษาต้องเข้ารับการฝึกงานในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เป็นต้น

6.ลงทุนในต่างประเทศ กลุ่มทุนรายใหญ่ของไทยได้ขยายการลงทุนออกไปยังต่างประเทศ โดยตลาดต่างประเทศที่กลุ่มทุนรายใหญ่ของไทยให้ความสำคัญ ได้แก่ กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงทวีปยุโรป ที่กลุ่มเซ็นทรัลเข้าไปซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าไว้ การขยายกิจการออกสู่ต่างประเทศช่วยให้สามารถสะสมทุนทางเศรษฐกิจได้จากการเปิดตลาดใหม่และฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

จากที่ได้อธิบายถึงลักษณะการสะสมทุนในธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มทุนรายใหญ่ของไทยไปแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจค้าปลีกไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจที่แค่ซื้อสินค้ามาแล้วขายไปเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สายสัมพันธ์ทางการเมืองและการพัฒนาแรงงาน ที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต

ซึ่งเป็นปัจจัยที่ร้านค้าปลีกขนาดเล็กอย่างร้านโชห่วยเข้าถึงได้ยาก ประกอบกับกลุ่มทุนรายใหญ่มีการควบรวมกิจการและขยายสาขาออกไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายย่อยเข้ามาแข่งขันในตลาดได้ยากขึ้น กลุ่มทุนรายใหญ่จึงสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้ 

นอกจากนี้แล้วกลุ่มทุนรายใหญ่ยังจัดทำโครงการร่วมมือกับร้านค้าโชห่วยด้วยการเข้าไปร่วมลงทุนและพัฒนาปรับปรุงร้านค้าให้ โครงการความร่วมมือนี้ ในทางหนึ่งแม้ว่าจะช่วยให้ร้านค้าโชห่วยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่อีกทางหนึ่งก็ทำให้ร้านโชห่วยขาดอิสระในการตัดสินใจ เนื่องจากเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการได้กำหนดไว้ว่า สินค้าที่วางขายต้องมาจากร้านค้าของกลุ่มทุนรายใหญ่เท่านั้น 

ดังนั้นแล้วแทนการปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มทุนรายใหญ่ซึ่งเป็นคู่แข่งขันในตลาด รัฐควรเป็นผู้ดำเนินการออกมาตรการอุดหนุนผู้ประกอบการร้านโชห่วยเสียเอง เช่น การออกมาตรการจัดสรรเงินกู้และอุดหนุนดอกเบี้ยแบบมีเงื่อนไขให้กับผู้ประกอบการร้านโชห่วยที่มีแผนการพัฒนาร้านค้าที่น่าสนใจ

จึงจะช่วยให้กลับมามีอิสระในการบริหารกิจการของตนเอง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้นำไปสู่ระบบทุนนิยมแบบช่วงชั้น รวมถึงช่วยป้องกันการผูกขาดจากกลุ่มทุนรายใหญ่ที่อาจขึ้นในอนาคตอีกด้วย