คิกออฟ ‘AMC’ เปิดตัว ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ ‘คลัง’ ตั้งเป้าช่วยเฟสแรก 2.3 ล้านบัญชี

ครม.เตรียมอนุมัติมาตรการแก้หนี้ประชาชนรายย่อย คิกออฟวันนี้ ธปท.นัดคลัง สมาคมธนาคารไทย เปิดตัว “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ตั้ง AMC ซื้อหนี้เสียประชาชนมาบริหาร
KEY
POINTS
- ครม.เตรียมอนุมัติมาตรการแก้หนี้ประชาชนรายย่อย คิกออฟวันนี้ ธปท.นัดคลัง สมาคมธนาคารไทย เปิดตัว “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ตั้ง AMC ซื้อหนี้เสียประชาชนมาบริหาร
- “คลัง” ตั้งเป้าช่วยเฟสแรก 2.3 ล้านบัญชี วงเงิน 6.2 หมื่นล้าน จากเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย ภาระบัญชีรวมกว่า 1.22 แสนล้าน
- “เอกนิติ” ลุยเฟสต่อไปแก้หนี้ “เกษตร-เอสเอ็มอี” 1 แสนราย
- มั่นใจเศรษฐกิจไทยพ้นปากเหว หลังคนละครึ่งหนุนจีดีพีไตรมาส 4 โต 1.1% จากคาดการณ์เดิม 0.3%
การแก้หนี้ครัวเรือน และการแก้หนี้สินประชาชนเป็นนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่กำหนดเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win โดยล่าสุดได้ผลักดันให้จัดตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อลด ภาระหนี้
ทั้งนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 พ.ย.2568 จะพิจารณาประเด็นดังกล่าวหลังจากผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2568
สำหรับแนวทางการดำเนินการ การจัดตั้ง AMC จะมีการเปิดตัวในวันที่ 11 พ.ย.2568 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดแถลงข่าวการเปิดตัวโครงการ “โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ซึ่งมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมด้วย
รวมทั้งมี นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนสมาคมธนาคารไทย (TBA) โดยจะมีพิธีร่วมลงนาม (MOU) ระหว่างกระทรวงการคลัง ธปท.และตัวแทนจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการตั้ง AMC แก้ไขหนี้เสียประชาชน
นายเอกนิติ กล่าวว่า นโยบายการแก้หนี้ประชาชน และหนี้ครัวเรือนว่าหากไม่แก้ไขอย่างเด็ดขาด และแก้อย่างยั่งยืนจะไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยในอนาคตฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นรัฐบาลจึงตัดสินใจเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ประชาชนรายย่อยที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) มูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาท ก่อนโดยมาตรการแก้หนี้จะช่วยลดภาระให้ลูกหนี้ จากเดิมที่ลูกหนี้หนึ่งรายอาจมีหนี้กับหลายสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ Non Bank จากสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล รวมทั้งยังมีหนี้นอกระบบอีกด้วย
“ภายใต้ระยะเวลาของรัฐบาลที่จำกัด 4 เดือน จึงเลือกให้ความสำคัญกับการแก้หนี้เสียกลุ่มแรกก่อน พร้อมระบุว่าโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของเสาหลักนโยบาย “แก้หนี้ครัวเรือน” ที่รัฐบาลต้องเร่งขับเคลื่อนภายใน 4 เดือน” นายเอกนิติ กล่าว
สำหรับ การลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงการคลัง ธปท.และสมาคมธนาคารไทย จะร่วมกันแก้หนี้เสียผ่านกลไกบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว คือ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) โดยซื้อหนี้ NPL ออกจากระบบธนาคาร โดยใช้วงเงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่เหลืออยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท มาใช้ในส่วนนี้ด้วย
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการตั้ง AMC เป็นการคืนชีวิตใหม่ให้ลูกหนี้ เพื่อให้ผู้ที่เคยมีปัญหาสามารถกลับมามีโอกาสทางเศรษฐกิจ และไม่ถูกปิดกั้นจากเครดิตบูโร
“กระบวนการที่เกิดขึ้น คือ หนี้เสียจะรวมมาอยู่ในที่เดียว และเกิดการปรับโครงสร้างหนี้ตามศักยภาพการชำระหนี้รายบุคคล โดยจะมีการตัดต้น ลดดอกเบี้ย และยืดเวลาชำระหนี้ เพื่อลดภาระหนี้ให้ลูกหนี้กลับมาหายใจได้"
นอกจากนี้ โจทย์สำคัญคือ ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวจะต้องกลับมามีวินัยในการชำระหนี้อย่างยั่งยืนโดยจะมีการสอนความรู้ทางการเงิน และร่วมมือกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) เปิดหมวดใหม่กำหนดสถานะให้ลูกหนี้กลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ลูกหนี้ที่มีวินัย และปรับโครงสร้างหนี้แล้ว และผ่อนชำระตรงตามกำหนด สามารถกลับเข้ามาขอสินเชื่อในระบบใหม่เพื่อทำธุรกิจได้
หนุนกลุ่มหนี้เสียกลับมาจ่ายหนี้ได้
สำหรับ โครงการ AMC ที่ ครม.รับทราบในที่ประชุมครั้งนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของ ครม.เศรษฐกิจ โดยหลักการคือ การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ NPLs ให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีขึ้น และปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น รวมทั้งมีโอกาสเข้าถึง สินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ กำหนดคุณสมบัติลูกหนี้ และประเภทสินเชื่อ ลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ NPLs ที่เป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 ก.ย.2568 วงเงินไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย โดยลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวมักมีลักษณะต่างๆ เช่น มีภาระหนี้มาก ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้มีเจ้าหนี้ หลายราย ไม่สามารถขอสินเชื่อเพิ่มเติมได้ และขาดสภาพคล่องเพื่อใช้จ่ายหรือประกอบธุรกิจ
ตลอดจนมีโอกาสต้องพึ่งพาสินเชื่อนอกระบบ แนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยผ่าน AMC ธนาคารพาณิชย์ บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) ขาย และโอนหนี้ให้ AMC แล้วให้ AMC ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้หลังรับซื้อหนี้ โดยปรับโครงสร้างหนี้ แบบผ่อนปรนเพื่อลดภาระหนี้ตามแนวทางที่ ธปท.กำหนด
ส่วนการดำเนินการประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่
1.การจ่ายชำระหนี้ บางส่วนเพื่อปิดบัญชีจบหนี้
2.การผ่อนชำระหนี้เป็นงวด ระยะเวลาสูงสุด 3 ปี
ขณะที่ภาระดอกเบี้ยในระหว่างเข้าร่วมมาตรการจะถูกพักไว้ โดยหากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขจะยกเว้นดอกเบี้ยทั้งจำนวน โดยกรณีที่ลูกหนี้รายเดียวกันมีเจ้าหนี้เดิมหลายราย ใช้การบริหารจัดการหนี้แบบรวมศูนย์ และมีการรายงาน ประวัติการชำระหนี้ที่ดีเพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสได้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ
ลดเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟู
สำหรับกลไกในการดำเนินการ และช่วยเหลือลูกหนี้จะมาจากการปรับลดการนำเงินส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF Fee ของธนาคารพาณิชย์จาก 0.46 % เหลือ 0.23% โดยนำสัดส่วนที่เหลือแล้วนำเงินส่วนนี้มาใช้ในการแก้หนี้
รวมทั้งส่วนหนึ่งมาจากเงินที่เหลือจากโครงการ คุณสู้เราช่วย มาเป็นสภาพคล่องให้ AMC โดยในส่วนของหนี้เสียที่มาจากธนาคารพาณิชย์ และบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ นั้นจะขาย และโอนหนี้ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM)
ขณะที่การโอนลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จะโอนหรือขายหนี้ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari AMC) โดยในส่วนนี้ให้ธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน ให้กับ Ari-AMC เพื่อเป็นสภาพคล่องในการดำเนินการเพื่อเป็นสภาพคล่องให้กับการรับซื้อ และโอนหนี้จาก SFIs
ตั้งเป้าหมายช่วยเฟสแรก 2.36 ล้านบัญชี
สำหรับเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้กระทรวงการคลังคาดว่าจะสามารถช่วยเหลือในการแก้หนี้ประชาชนได้กว่า 2.36 ล้านบัญชี รวมวงเงินกว่า 62,400 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย ภาระบัญชีรวมกว่า 1.22 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาหนี้อย่างเป็นธรรม และยั่งยืนที่ ครม.เศรษฐกิจได้มีการหารือได้แก่ พิจารณาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks และเจ้าหนี้กลุ่มอื่นๆ ตามหลักการเดียวกัน
โดยเน้นที่การยึดลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) พัฒนาฐานข้อมูลหนี้สินครัวเรือนให้ครบถ้วน ครอบคลุมผู้ให้บริการทางการเงินทุกประเภท รวมทั้งปรับปรุง และเพิ่มเติมการจัดทำฐานข้อมูลภาระหนี้ นอกระบบ และข้อมูลทางเลือก (Alternative Data)
รวมทั้งเชื่อมโยงกับข้อมูลภาระหนี้ในระบบเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีข้อมูลที่ครบถ้วน และนำไปใช้ในการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ที่เหมาะสม โดยอาจมีอารีย์สกอร์ (Ari Score) ที่ กระทรวงการคลังกำลังพัฒนาอยู่เป็นเครื่องมือทางเลือกหนึ่งในการคำนวณคะแนนเครดิต เพื่อนำมาประเมินความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละรายตามความเหมาะสมต่อไป
ธ.ก.ส.ตั้งเอเอ็มซีแก้หนี้เกษตรกร
สำหรับแนวทางการแก้หนี้ให้กับภาคเกษตร และเอสเอ็มอียังอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดของโครงการเพื่อนำเสนอรัฐบาล โดยเบื้องต้นในส่วนของหนี้เกษตรกรจะให้ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของตนเอง ภายในเดือนพ.ย.นี้ เพื่อบริหารจัดการหนี้เสียของเกษตรกรโดยเฉพาะ
นอกจากนี้โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายช่วยเกษตรกรราว 100,000 ราย ที่มีหนี้รวมกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ลดเงินต้น ขยายเวลาชำระ และเปิดทางให้กลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้อีกครั้ง ถือเป็นการต่อยอดจากเฟสแรกของรัฐบาล ส่วนหนี้ของเอสเอ็มอีนั้นตอนนี้ก็อยู่ในขั้นของการออกแบบมาตรการที่เหมาะสมเช่นกัน
“คลัง” มั่นใจจีดีพีไตรมาส 4 โต 1.1%
นายเอกนิติ กล่าวว่า ทิศทางของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเมินจีดีพีไตรมาส 4 ปีนี้ จะสามารถขยายตัวได้ 1.1% จากเดิมที่คาดจะขยายตัว 0.3%
ทั้งนี้ เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศใช้ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ทำให้เป็นสัญญาณแรกของเศรษฐกิจที่พ้นจากหล่ม
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 10 พ.ย.2568 เวลา 17.00 น.มีผู้ใช้จ่ายสำเร็จสะสม 19.62 ล้านคน จากจำนวนผู้ได้รับสิทธิทั้งหมด 20 ล้านคน โดยมียอดใช้จ่ายที่สำเร็จสะสมสูงถึง 28,794 ล้านบาท ผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ 820,449 ร้านค้า และก่อให้เกิดจำนวนรายการใช้จ่ายสำเร็จรวม 203.99 ล้านครั้ง สำหรับประชาชนที่ยังไม่ได้เริ่มใช้สิทธิย้ำเตือนให้รีบดำเนินการใช้จ่ายครั้งแรก
“กระทรวงการคลังขอย้ำเตือนผู้ที่ได้รับสิทธิทั้ง 20 ล้านคน จะต้องใช้จ่ายครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย.2568 เวลา 23.00 น. หากไม่ใช้จ่ายภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จะถือว่าสละสิทธิ และถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการในเฟสนี้ทันที” นายลวรณ กล่าว
โดยยอดเงินที่เหลือจากโครงการในเฟสนี้ จะถูกนำมาพิจารณาเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการในเฟสถัดไป เพื่อให้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด
รายงานข่าวเปิดเผยว่า การใช้จ่ายผ่านบริการ “ฟู้ดเดลิเวอรี” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ปัจจุบันมียอดใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 360 ล้านบาท จากผู้ใช้งาน 1.31 ล้านคน แบ่งออกเป็น LINEMAN ครองแชมป์อันดับ 1 มียอดใช้จ่ายสูงสุดที่ 215 ล้านบาท Grab ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ 127 ล้านบาท ส่วน ShopeeFood ยอดใช้จ่าย 17 ล้านบาท และ Robinhood มียอดใช้จ่าย 6.1 แสนบาท
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







