เมื่อฝูงห่านบินในเอเชียตะวันออกถูกดิสรัปต์

สัปดาห์ที่แล้วมีบทความในเว็บไซต์ Fulcrum สิงคโปร์ เรื่อง “โมเดลฝูงห่านบินใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Toward A New Flying Geese Model in Southeast Asia) เขียนโดย มาโก้ คามิยา
ตั้งคําถามว่าทฤษฎีฝูงห่านบิน (Flying Geese) ยังใช้ได้อยู่หรือไม่กับการพัฒนาเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการเติบใหญ่ของจีนและนโยบายภาษีทรัมป์
ซึ่งน่าสนใจเพราะทฤษฎีฝูงห่านบินเป็นแนวคิดที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกรวมถึงไทยช่วงปี 1980-1990s จึงอยากให้ความเห็นเรื่องนี้และนี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ห่านจะบินเป็นฝูง บินเรียงกันอย่างเป็นระเบียบคล้ายตัว V นําโดยห่านตัวนำที่อยู่หัวขบวนตามด้วยห่านตัวอื่นๆ ทฤษฎีฝูงห่านบินใช้รูปแบบนี้อธิบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียเมื่อสี่สิบปีก่อน โดยห่านหัวขบวนหมายถึงเศรษฐกิจที่เป็นผู้นําในภูมิภาคในการพัฒนาอุตสาหกรรม
ซึ่งก็คือ ญี่ปุ่น ยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงและส่งผ่านอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มตํ่าให้กับห่านที่บินตาม คือ ประเทศในภูมิภาคที่เป็นผู้ตาม การส่งผ่านเกิดขึ้นเพราะต้นทุนการผลิตในประเทศผู้นําสูงขึ้นและประเทศผู้นําต้องการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน
ทฤษฎีนี้ปรากฏครั้งแรกในรูปบทความภาษาญี่ปุ่นปี 1930s โดยคานาเม อาคามัสซุ (Kaname Akamatsu) เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษในปี 1962 ดร.ซาบุโรโอกิตะ (Saburo Okita) ได้ต่อยอดแนวคิดนี้กับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกในช่วงปี 1970-1980s เริ่มจากญี่ปุ่นห่านตัวนำส่งผ่านอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มตํ่าให้ห่านรุ่นสองคือ เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ตามด้วยห่านรุ่นสามคือ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ธนาคารโลกในรายงานความมหัศจรรย์ของเอเชียตะวันออก (TheEastAsianMiracle) ปี1992 ให้เครดิตแนวคิดนี้กับความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกช่วงปี 1980s ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ไทยอย่าง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ก็วิเคราะห์ไปถึงห่านแถวสี่คือประเทศอย่าง พม่า เวียดนาม ลาวและกัมพูชา
วิกฤติเศรษฐกิจเอเชียปี 1997-1998 ทำให้โมเมนตัมการพัฒนาเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกชะงักลง แต่ที่สำคัญกว่าคือหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงยี่สิบปีหลังวิกฤติปี 1997 ได้ทําให้ภาวะเเวดล้อมที่เคยเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกตามทฤษฎีฝูงห่านบินเปลี่ยนไป การพัฒนาอุตสาหกรรมมีความท้าทายซับซ้อนและมีปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น ได้แก่
1.การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่เปลี่ยนโครงสร้างและรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกอย่างสิ้นเชิง เพราะจีนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ ผู้ลงทุนและผู้นําด้านนวัตกรรม ทำให้จีนพร้อมเป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม คือเป็น “ห่านหัวขบวน”
แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมของจีนแบบบูรณาการแนวตั้ง (Vertical Integration) ที่ควบคุมการผลิตในห่วงโซ่อุปทานของตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้จีนพึ่งพาต่างประเทศน้อยในการผลิตยกเว้นวัตถุดิบและวางตำแหน่งตัวเองเป็นคู่แข่งกับประเทศในภูมิภาคมากกว่าเป็นเครือข่ายการผลิต
การสร้างเครือข่ายต่างประเทศของจีนจึงเป็นเชิงยุทธศาสตร์เพื่อลดต้นทุนหรือขยายตลาด เช่น สร้างห่วงโซ่การผลิตสินค้าขั้นกลางเพื่อส่งกลับจีน ผลิตสินค้าขั้นปลายเพื่อประโยชน์ทางภาษีในการส่งออก ย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศเพื่อหาประโยชน์จากสิทธิในการส่งออก หรือเจาะตลาดในประเทศนั้น ในลักษณะนี้บทบาทของจีนในภูมิภาค จึงมีมากกว่าและต่างไปจากการส่งผ่านอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มตํ่าไปให้ประเทศผู้ตาม
2.โลกาภิวัตน์และภูมิรัฐศาสตร์ โลกาภิวัตน์หรือการเปิดเสรีด้านการค้าและการลงทุน เป็นแนวคิดที่สนับสนุนทฤษฎีฝูงห่านบินโดยตรง เพราะประเทศอุตสาหกรรมสามารถย้ายฐานการผลิตสินค้าไปประเทศที่มีต้นทุนตํ่ากว่าอย่างเสรี เพื่อเพิ่มความสามารถในการทํากําไร จีนในยุคแรกของการพัฒนาอุตสาหกรรมช่วงปี 1980-2000s ก็ได้ประโยชน์เต็มที่จากโลกาภิวัตน์ ไทยก็ได้ประโยชน์นําไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์
ในแง่ทฤษฎีฝูงห่านบิน การย้ายฐานเข้ามาลงทุนในเอเชียตะวันออกของบริษัทในประเทศอุตสาหกรรมเปรียบได้เหมือนมีห่านต่างถิ่นที่สามารถเป็นผู้นําเข้ามาในภูมิภาค เปลี่ยนบริบทการพัฒนาอุตสาหกรรมจากภูมิภาคเป็นสากล ทำให้ห่านผู้ตามสามารถเลือกได้ว่าจะตามใคร
ไม่ต้องรอการส่งผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมจากห่านที่เป็นตัวนําเดิม ปรากฏการณ์เหล่านี้ทําให้การพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกเติบโตเร็วและมีทางเลือกมากขึ้น
แต่ช่วงตั้งแต่ปี 2010s โดยเฉพาะหลังวิกฤติโควิด แรงกระเพื่อมจากภูมิรัฐศาสตร์ ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ความไม่สงบจากสงคราม ความแตกแยกทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตามมา รวมถึงการกลับมาของนโยบายกีดกันทางการค้า เช่น ภาษีทรัมป์ ทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น
กระบวนการส่งผ่านแบบฝูงห่านบินและการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานมีข้อจํากัด ไม่ต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยอื่น เช่น ความมั่นคงและการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมซับซ้อนมากขึ้น
3.เทคโนโลยี เช่น หุ่นยนต์ เอไอ ช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้ความสำคัญของต้นทุนแรงงานในฐานะปัจจัยขับเคลื่อนการส่งผ่านอุตสาหกรรมตามทฤษฎีฝูงห่านบินลดลงตามไปด้วย พร้อมกับเปลี่ยนจุดแข็งที่ประเทศควรมีในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นความพร้อมที่จะเป็นตัวเลือกในเครือข่ายการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสากล
เช่น การศึกษา แรงงานทักษะสูง ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัลเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อการบังคับใช้กฎหมาย ระบบขนส่งและธรรมาภิบาล เหล่านี้คือ ปัจจัยที่ชี้ถึงความสามารถของเศรษฐกิจในการพัฒนาอุตสาหกรรม
สะท้อนปัจจัยเหล่านี้ ความต่อเนื่องของการพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกแบบฝูงห่านบินจึงถูกดิสรัปต์ มีห่านหลายตัวที่สามารถเป็นตัวนําได้เวลาใดเวลาหนึ่งไม่ใช่ตัวเดียว มีการแตกแถวของห่านผู้ตาม บินตามห่านตัวอื่นที่เป็นตัวนํา มีการแซงหน้าห่านตัวนําเดิมโดยห่านผู้ตาม เช่น กรณีจีนกับญี่ปุ่น ทั้งหมดแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านและการพัฒนาที่หลากหลายและไร้ความแน่นอน
สิ่งเหล่านี้ได้เปลี่ยนบริบทของการพัฒนาอุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออก จากเดิมที่รอการส่งผ่านอุตสาหกรรมจากประเทศนำมาเป็นการสร้างความพร้อม เพื่อฉวยโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกพัฒนา ห่วงโซ่การผลิตและอุตสาหกรรมในประเทศตน นี่คือ เงื่อนไขที่ทำให้ประเทศผู้ตามสามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ โดยไม่ต้องรอประเทศผู้นํามอบโอกาสให้ เป็นบริบทที่ไทยควรเตรียมตัวอย่างจริงจังเช่นกัน







