ปมร้อนน้ำตาลขึ้น 3 บาท ‘อนุทิน’ เบรกทันควัน สกัดคะแนนนิยมทรุด

นายกฯ เบรกด่วนขึ้นราคาน้ำตาลหน้าโรงงาน กก.ละ 3 บาท หวั่นกระทรวงอุตสาหกรรมสร้างกระทบค่าครองชีพประชาชน รักษาคะแนนนิยม ก่อนยุบสภาสู้ศึกเลือกตั้ง
KEY
POINTS
- สอน. ได้ออกประกาศขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน 3 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่คาดว่าราคาอ้อยขั้นต้นจะต่ำกว่าต้นทุนการผลิต
- อนุทิน ชาญวีรกูล ได้สั่งการด่วนให้กระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนและยกเลิกประกาศขึ้นราคาน้ำตาลดังกล่าวทันที
- สอน. ได้ออกประกาศฉบับใหม่ในคืนวันที่ 7 พ.ย. 2568 ให้กลับไปใช้ราคาเดิม โดยมีผลในวันที่ 8 พ.ย. 2568 ซึ่งเป็นการระงับการขึ้นราคาอย่างทันควัน
- เหตุผลสำคัญที่นายกรัฐมนตรีสั่งเบรกการขึ้นราคา คือเพื่อป้องกันผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งอาจส่งผลลบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลในช่วงที่ใกล้จะมีการเลือกตั้ง
สถานการณ์แนวโน้มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูกาลผลิต 2568/2569 ที่มีแนวโน้มต่ำกว่าต้นทุนการเพาะปลูกมาก ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ออกประกาศเรื่องราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ประจำฤดูการผลิต ปี 2568/2569
สำหรับประกาศดังกล่าวมีผลให้ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานให้มีผลวันที่ 8 พ.ย.2568 ดังนี้
1.น้ำตาลทรายดิบ จากกิโลกรัมละ 21 บาท เป็น 24 บาท
2.น้ำตาลทรายขาว จากกิโลกรัมละ 22 บาท เป็น 25 บาท
ทั้งนี้ การปรับราคาน้ำตาลหน้าโรงงานจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กนอ.) ที่มีนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน
นายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ลงนามออกประกาศ โดยระบุเหตุผลให้สอดดล้องต้นทุนการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน จึงประกาศราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ เพื่อใช้ประกอบการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ฤดูการผลิตปี 2568/2569
แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เหตุผลสำคัญของการปรับราคาน้ำตาลหน้าโรงงานขึ้น 3 บาท มีเหตุผลสำคัญจากแนวโน้มราคาอ้อยขั้นต้นที่ต้องประกาศก่อนเปิดหีบอ้อยในเดือน ธ.ค.2568 มีแนวโน้มอยู่ที่ตันละ 900 บาท ในขณะที่ต้นทุนการเพาะปลูกที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการอ้อย อยู่ที่ตันละ 1,358 บาท
ทั้งนี้ แนวโน้มราคาดังกล่าวจะทำให้ชาวไร่อ้อยขาดทุนจึงทำให้เสนอ กอน.เพื่อขึ้นราคาหน้าโรงงาน ซึ่งจะทำให้โรงงานน้ำตาลจำหน่ายน้ำตาลได้ราคาสูงขึ้น และมีรายได้เข้าระบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลสูงขึ้น (ระบบ 70:30)
แหล่งข่าว กล่าวว่า ทันทีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี รับทราบการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้ปรับราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานขึ้นกิโลกรัมละ 3 บาท ได้สั่งการมาที่กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสั่งการให้ สอน.ทบทวนการออกประกาศทันที
ดังนั้น ในช่วงกลางคืนวันที่ 7 พ.ย.2568 ได้มีการเผยแพร่ประกาศฉบับใหม่ที่ลงนามโดยเลขาธิการ สอน.ให้กับไปใช้ราคาน้ำตาลหน้าโรงงานเดิมมีผลวันที่ 8 พ.ย.2568 ดังนี้
1.น้ำตาลทรายดิบ จากกิโลกรัมละ 24 บาท เป็น 21 บาท
2.น้ำตาลทรายขาว จากกิโลกรัมละ 25 บาท เป็น 22 บาท
“สอน. ต้องรีบดำเนินการออกประกาศฉบับใหม่ทันทีกลับไปใช้ราคาเดิมหลังจากมีคำสั่งมาจากนายกรัฐมนตรี” แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ หากมีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานขึ้นจะมีผลต่อการปรับราคาน้ำตาลทรายขายปลีก โดยน้ำตาลยังคงเป็น 1 ใน 59 สินค้าและบริการในบัญชีควบคุมราคาของกระทรวงพาณิชย์ที่เพิ่งต่ออายุไปเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2568
รวมทั้งการปรับขึ้นราคาน้ำตาลจะมีผลต่อค่าครองชีพของประชน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการลดค่าครองชีพ เช่น โครงการ "คนละครึ่งพลัส" จึงทำให้การปรับขึ้นราคาน้ำตาลของกระทรวงอุตสาหกรรมขัดแย้งกับนโยบายรัฐบาล จึงเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีรีบสั่งการมาที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้ทบทวนประกาศขึ้นราคาน้ำตาลหน้าโรงงาน
สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับความพยายามของรัฐบาลที่จะสร้างผลงานก่อนที่จะมีการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2568 ถึงกรอบเวลาการยุบสภาไม่เกินวันที่ 31 ม.ค.2569 และเลือกตั้งในวันที่ 29 มี.ค.2569
ในขณะที่สถานการณ์การเมืองปัจจุบันมีความไม่แน่นอนเมื่อ “พรรคเพื่อไทย” อาจจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “รัฐบาลอนุทิน” ทันที หลังจากเปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 12 ธ.ค.2568 ซึ่งอาจจะทำให้นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาเร็วขึ้นก่อนที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อรักษาคะแนนนิยมไว้สู้ในสนามเลือกตั้งปี 2569
ดังนั้น คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่สั่งตรงถึงกระทรวงอุตสาหกรรมให้ทบทวนการขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานกิโลกรัมละ 3 บาท จึงเป็นการตัดสินใจไม่ให้กระทบค่าครองชีพของประชาชนที่อาจจะมีผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลที่ใกล้นับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง







