TDRI เร่งรัฐ 'กิโยตินกฎหมาย' หั่นข้อจำกัดลงทุน เพิ่มขีดแข่งขัน

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เร่ง “กิโยตินกฎหมาย” ซึ่งเป็นกระบวนการทบทวน ปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย อันเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตและการลงทุนในประเทศไทย
KEY
POINTS
- TDRI เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดกระบวนการ “กิโยตินกฎหมาย” เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขกฎระเบียบที่ล้าสมัยซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน แต่พบว่ามีความคืบหน้าเพียง 30% นับตั้งแต่เริ่มผลักดันในปี 2561
- กฎหมายที่เป็นปัญหาสำคัญและควรเร่งแก้ไข ได้แก่ ข้อจำกัดเรื่องใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ของชาวต่างชาติ, ความซ้ำซ้อนในการส่งรายงานของบริษัทจดทะเบียน และการบังคับส่งหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นทางไปรษณีย์
- การปฏิรูปกฎหมายจะช่วยลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ได้ปรับปรุงกฎระเบียบไปมากแล้ว
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ศึกษาเรื่อง “กิโยตินกฎหมาย” ซึ่งเป็นกระบวนการทบทวน ปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย อันเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตและการลงทุนในประเทศไทย โดยเรื่องนี้ได้ผลักดันมาตั้งแต่ปี 2561 เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายไปเกือบ 20 ฉบับ เกี่ยวเนื่องกับ 20 หน่วยงานภาครัฐ แต่ปัจจุบันดำเนินการไปเพียงประมาณ 30% เท่านั้น
ดร.กิรติพงศ์ แนวมาลี นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับ “กิโยตินกฎหมาย” โดยระบุว่า เรื่องนี้ TDRI ศึกษาและผลักดันมานานตั้งแต่ปี 2561 – 2562 ปัจจุบันได้ดำเนินการแก้ไขไปบ้างแล้ว จากข้อเสนอของ TDRI หากคิดเป็น 100% พบว่ามีการดำเนินการไปเพียงประมาณ 30% ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากหลายหน่วยงานอาจไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข แต่ส่วนมากจะอ้างว่าอยู่ระหว่างกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งตรงนี้ TDRI พยายามที่จะติดต่อและพยายามติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเด็นตัวอย่างกฎหมาย TDRI ศึกษาและพบว่าควรเร่งแก้ไข ในงานวิจัยนั้นครอบคลุมกฎหมายเกือบ 20 ฉบับ เกี่ยวเนื่องกับ 20 กว่าหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเรื่องที่ยังไม่ค่อยเดินหน้า ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย หรือเรื่องเกี่ยวกับด้านสาธารณสุข และกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับกระทรวงพาณิชย์
ดร.กิรติพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตัวอย่างกฎหมายที่ TDRI ศึกษาและพบว่าเป็นปัญหาต่อขีดความสามารถทางการลงทุน อาทิ กฎหมายเกี่ยวกับ Work Permit ของคนต่างด้าว พบว่าไทยมีข้อจำกัดเมื่อคนต่างด้าวเข้ามาในประเทศ จะต้องมีการขออนุญาตเข้ามา และต้องมีการรายงานตัวต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และกรมแรงงานทุก 90 วัน นี่เป็นประเด็นปัญหามากสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย
“ปัญหาเรื่อง Work Permit ของคนต่างด้าว ไม่เอื้อต่อการเข้ามาทำงานในไทยอย่างมาก เพราะจะพบว่าปัจจุบันคนต่างชาติต่อแถวกันเยอะมากที่ศูนย์ราชการเพื่อรายงานตัวตามกำหนด บางครั้งยังมีเด็กนักเรียนต่างชาติก็ต้องโดดเรียนเพื่อมารายงานตัว ซึ่งกรณีนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้มีการแก้ไข และไม่เอื้อต่อต่างชาติเข้ามาทำงาน หรือเรียนในไทย”
นอกจากนี้ TDRI มองว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจและบริบทในปัจจุบัน การปรับปรุงกฎหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากประเทศต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันยังคงมีกฎหมายที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาลงทุน ซึ่งกฎหมายเหล่านี้สร้างต้นทุน สร้างความยุ่งยากซับซ้อน ดังนั้นเรื่องการแก้ไขกฎหมายนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องรีบดำเนินการ
ดร.กิรติพงศ์ กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญที่มองว่าประเทศไทยต้องเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อลดข้อจำกัดทางการลงทุน คือ 1. ความซ้ำซ้อนของการรายงานในภาคตลาดทุน เพราะภาคตลาดทุนเป็นหัวใจสำคัญของนักลงทุน ทุกวันนี้มีเงื่อนไขว่าบริษัทจดทะเบียนจะต้องทำรายงานประจำปีและงบการเงิน และกฎหมายยังระบุว่าต้องส่งรายงานประจำปีให้กับหน่วยงานต่างๆ แยกกัน
โดยบริษัทที่จดทะเบียนจะต้องส่งรายงานประจำปีไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และกระทรวงพาณิชย์ แม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่คล้ายกันก็ตาม แต่การทำเอกสารเหล่านี้ต้องใช้เอกสารจำนวนมาก ซึ่งเป็นความซ้ำซ้อนที่สามารถแก้ไขได้ โดยควรแก้กฎหมายให้สามารถส่งเพียงครั้งเดียว และให้เอกสารเชื่อมโยงถึงกันได้
2. การเชิญประชุมผู้ถือหุ้น โดยกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบันระบุว่า การเชิญผู้ถือหุ้นจะต้องส่งเป็นจดหมายไปรษณีย์ ซึ่งปัจจุบันเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 สามารถส่งอีเมลได้ แต่นี่เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้แก้ไข ดังนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะกลับกัน คือ ให้การส่งทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นช่องทางหลัก
โดยให้ทางไปรษณีย์เป็นทางเสริมสำหรับคนที่อาจจะไม่สะดวก ดังนั้นหากแก้ไขข้อจำกัดเรื่องนี้ได้ จะช่วยลดต้นทุน เพราะการทำเอกสารกระดาษเหล่านี้จำนวนมาก เป็นภาระต้นทุนกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่ต้องมีการประชุมผู้ถือหุ้น
“เรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากข้อจำกัดทางกฎหมายไม่เอื้ออำนวยเหล่านี้ แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่สามารถรวบรวมออกมาเป็นเชิงตัวเลขที่ชัดเจน แต่สิ่งที่สามารถบอกได้คือ ในยุคนี้รายได้หาได้ยากขึ้น ยิ่งลดต้นทุนได้มากเท่าไหร่ นั่นแสดงว่าภาคเอกชนก็จะมีเงินเหลือที่จะไปทำอะไรที่มีประโยชน์มากขึ้น สะท้อนว่าการลงทุนในประเทศไทยมีผลตอบแทนที่ดี ถ้าเราทำตรงนี้ได้ ก็จะทำให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ”
ดร.กิรติพงศ์ เผยว่า ขณะนี้พบว่าเวียดนามซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งในอาเซียนได้ดำเนินการปรับปรุงเกี่ยวกับกิโยตินกฎหมายไปจำนวนมาก นโยบายล่าสุดของเวียดนามยังลดขนาดของภาครัฐ รวมถึงยุบรวมจังหวัดต่างๆ ให้เหลือน้อยลง และตัดกฎหมายที่ไม่จำเป็น ทำให้เวียดนามลดจำนวนข้าราชการไปเป็นหลักแสนคน ซึ่งหารปรับปรุงกิโยตินกฎหมาย และโครงสร้างระบบราชการของเวียดนาม ทำให้ความซ้ำซ้อนของระบบราชการน้อยลง และเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ
ทั้งนี้ TDRI ต้องการสะท้อนถึงความสำคัญของการกิโยตินกฎหมาย เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้างขีดความสามารถของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการจูงใจนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องกฎระเบียบและประสิทธิภาพภาครัฐแล้ว ยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ ประกอบด้วย เช่น ทักษะแรงงาน และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน







