เกมรุกเสริมสภาพคล่อง SME เปิด 5 มาตรการ ส.อ.ท. ทางรอดหรือแค่ยื้อเวลา?

เกมรุกเสริมสภาพคล่อง SME เปิด 5 มาตรการ ส.อ.ท. ทางรอดหรือแค่ยื้อเวลา?

“ส.อ.ท.” ชง 5 มาตรการกู้วิกฤติเสริมสภาพคล่อง SME ดัน “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 2%” และ “กองทุน SME” ลดหลักประกัน-ติดปีกธุรกิจสีเขียว

KEY

POINTS

  • ส.อ.ท.เสนอมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบมีเป้าหมาย โดยให้ธนาคารพาณิชย์เข้าถึงแหล่งเงินดอกเบี้ยพิเศษจาก ธปท. เพื่อปล่อยสินเชื่อให้ SME ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ธุรกิจส่งออก นวัตกรรม หรือธุรกิจสีเขียว
  • สร้าง “ระบบเครดิตทางเลือก” ผ่านแพลตฟอร์มกลางที่ใช้ข้อมูลอื่น ๆ เช่น ยอดขาย e-commerce หรือการชำระค่าสาธารณูปโภค เพื่อให้สถาบันการเงินใช้ประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น
  • สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ “ธุรกิจสีเขียวและดิจิทัล” ด้วยกรอบสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ 2% สำหรับ SME ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด การลดคาร์บอน หรือ Digital Transformation
  • ชงภาครัฐสนับสนุนการขยายพอร์ตการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. จาก 30% เป็น 40% หรือลดระยะเวลาการค้ำประกันลง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึงแหล่งทุน พร้อมจัดตั้ง “กองทุน SME” เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย 

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่ซบเซา ธุรกิจ SME ซึ่งถือเป็นฐานรากสำคัญของประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันรุนแรง จากทั้งอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรงและการแข่งขันด้านราคาที่ทวีความเข้มข้น โดยเฉพาะจากสินค้าราคาถูกที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดไทยจำนวนมากจนทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นไม่สามารถสู้ราคาได้ ส่งผลให้หลายรายแบกรับต้นทุนสูง ขาดสภาพคล่อง และเสี่ยงต่อการปิดกิจการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งแประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. ได้นำเสนอนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ SME ด้วยการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ไปสู่การสร้างเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) 

ผ่านการเปลี่ยนการผลิตจาก OEM-Original Equipment Manufacturer (ผู้ผลิตตามสั่งแบรนด์อื่น) เป็น ODM-Original Design Manufacturer (ผู้ผลิตที่ออกแบบเองด้วย) หรือ OBM-Original Brand Manufacturer (ผู้ผลิตและทำแบรนด์เอง) เปลี่ยนการใช้แรงงาน มาใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เช่น ดิจิทัล AI และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น เปลี่ยนการผลิตเพื่อกำไร มาเป็นการผลิตเพื่อความยั่งยืน และเปลี่ยนจาก Unskilled Labour มาเป็น High-skilled Labour ผ่านกลไก Pay by skills

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้เสนอมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบการ SME ว่าจากการระดมความเห็นของสมาชิก ส.อ.ท. ทั้ง 5 ภูมิภาคกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากปัญหาหลักของผู้ประกอบการส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ ทักษะ นวัตกรรม บุคลากรเฉพาะทาง และเงินลงทุน 

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงได้เสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือ SME อย่างเป็นรูปธรรม แบ่งเป็น

1. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบมีเป้าหมาย  โดยเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินจาก ธปท. ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หากปล่อยสินเชื่อให้กับ SME ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ประกอบการด้านการส่งออก นวัตกรรม หรือธุรกิจสีเขียว

2. เสนอให้สร้าง “ระบบเครดิตทางเลือก” ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลยอดขายผ่าน e-commerce ข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม และการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าแรงของธุรกิจ 

3. สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ “ธุรกิจสีเขียวและดิจิทัล” ด้วยการออกกรอบสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ 2% สำหรับ SME ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด การลดคาร์บอน ระบบอัตโนมัติ หรือการทำ Digital Transformation พร้อมปรับลดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาค SME

4. เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการขยายพอร์ตการค้าประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จาก 30% เป็น 40% หรือปรับลดระยะเวลาการค้ำประกันต่อพอร์ตโฟลิโอลงจาก 10 ปี เหลือเพียง 5–7 ปี เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึงแหล่งทุน 

5. เสนอให้จัดตั้ง “กองทุน SME” เพื่อใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ลดอุปสรรคเรื่องหลักประกันและขั้นตอนที่ซับซ้อน มีอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้กองทุนสามารถนำเงินหมุนเวียนกลับมาใช้ช่วยเหลือ SME รายอื่นต่อไป รวมถึงใช้ในการบริหารจัดการหนี้เสีย (NPL) อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ 

และการเปิดตลาดใหม่ได้ โดยสินเชื่อพิเศษดังกล่าวจะมุ่งช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวทางธุรกิจและปรับ Supply Chain ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านมูลค่าเพิ่มในประเทศ (RVC) ของสหรัฐฯ รวมถึงสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐฯ

อีกทั้งยังมีแนวทางในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท เพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนหรือแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)

ในส่วนของข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand : MiT) โดยผลักดันการใช้สินค้า MiT อย่างจริงจัง โดยส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ใช้สินค้า MiT และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจนในมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านระบบ e-bidding ภายใน 5 ปี รวมถึงให้ครอบคลุมถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งขยายตลาดสินค้า MiT สู่ภาคเอกชนภายใต้โครงการ “ซื้อของไทยเพื่อคนไทย” และผลักดันให้สินค้า MiT ก้าวสู่ตลาดโลก

นอกจากนี้ ยังเสนอให้จัดทำมาตรการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า MiT เพื่อเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในประเทศ

ภายใต้ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ โดยเฉพาะด้านการเงิน เช่น การเพิ่มช่องทางสินเชื่อ ดอกเบี้ยต่ำ หรือการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและป้องกันการล้มของภาค SME ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งเสนอให้รัฐเร่งสร้างกลไกดูแลการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถยืนหยัดต่อสู้และฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน