‘Modest Fashion’ กุญแจขุมทรัพย์เศรษฐกิจฮาลาล :สายแฟชั่นโตปีละ6%(ตอนที่1)

เศรษฐกิจฮาลาล (Halal Economy) กําลังกลายเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยมีประชากรมุสลิมกว่า 1.9 พันล้านคน คิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของประชากรโลก ซึ่งมีอัตราการเดิบโตเฉลี่ยปีละ 1.8% และคาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 2.2 พันล้านคนภายในปี 2030
ส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับหลักฮาลาลเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในหมวด “Modest Fashion” หรือแฟชั่นที่เน้นความสุภาพ ปกปิดมิดชิด และให้ความสำคัญกับคุณธรรมด้านวัตถุดิบและกระบวนการผลิต
ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า Modest Fashion เป็นนิยามที่หลายคนยังไม่เข้าใจเพราะถ้าแปลตรงตัว คือ ความเรียบง่าย ปิดชิด แต่ว่าในมุมของตลาดมุสลิม จะมีการตีความไปว่าเป็นแฟชั่นที่เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลาม
“Modest Fashion ไม่ใช่การฮาลาล แต่เป็นคีย์เวิร์ดที่ให้คนนอกวงการแฟชั่นที่ไม่ใช่มุสลิมสามารถเข้าใจและเข้าถึงอุตสาหกรรมนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะพัฒนาการผลิต การตลาดได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย”
สำหรับตลาดและโอกาสของ Modest Fashion ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ ตุรกี เป็นทั้งศูนย์กลางการผลิต ออกแบบ และการส่งออก เป็นรากฐานของธุรกิจมูลค่าสูง โดย Modest Fashion หรือแฟชั่นเรียบง่ายตามหลักศาสนาอิสลาม กำลังเปลี่ยนจากภาพลักษณ์ "แฟชั่นเฉพาะกลุ่ม" ไปสู่ "แฟชั่นกระแสหลักระดับโลก"
โดยมูลค่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคมุสลิมในภาคเครื่องแต่งกายและรองเท้าสูงถึง 318,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มถึง 428,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี2027 หรือ เติบโตเฉลี่ยปีละ 6.1% มีตลาดที่โดดเด่นคือ ตะวันออกกลาง ตุรกี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) นับเป็นเศรษฐกิจที่มีศักยภาพท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ดร.ชาญชัย กล่าวอีกว่าสำหรับประเทศไทยที่มีความที่โชคดีที่มีพี่น้องมุสลิมจึงพอจะเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นภาคการผลิตModest Fashionที่เป็นที่ยอมรับทั้งในมาเลเซียเพราะมีการออกแบบสวยงาม ส่วนที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ ก็พบว่าผ้าบาติกของไทยมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า สามารถเข้าไปชิงช่องว่าตลาดที่ยังเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในราคาถูก ราวชิ้นละ 80 บาท จึงทำให้มีคุณภาพต่ำ ซึ่งไทยสามารถใช้ขีดความสามารถด้านการออกแบบและต้นทุนที่แข่งขันได้ เข้าไปทำตลาดที่พร้อมจ่ายแพงขึ้นเล็กน้อยแลกกับคุณภาพและอายุการใช้งานที่นานขึ้น คุ้มค่ามากขึ้น
“แฟชั่นมุสลิมเราเป็นแนวผลิตโดยวิสาหกิจชุมชนกลายเป็นว่าเราทำของได้ไม่มากไม่ได้เป็นลักษณะโรงงาน ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิต ที่เป็นโรงงานในประเทศไทยที่มีอยู่จำนวนมาก ราว2,000 กว่าโรง กำลังมีความสนใจเข้ามาอยู่ในสายการผลิตในอุตสาหกรรมใหม่นี้”
อย่างไรก็ตาม พบว่าปัญหาการขยายกำลังการผลิตยังติดอยู่ที่ จำนวนความต้องการที่ยังไม่สูงมากทำให้โรงงานขนาดใหญ่ที่เดิมเป็นกลุ่มรับการผลิต(โออีเอ็ม)ยังไม่สามารถเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ได้เต็มตัวทั้งที่มีความสนใจในโอกาสใหม่นี้
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสด้านการลงทุนจากอุตสาหกรรม Modest Fashion โดยตุรกีที่เป็นตลาดหลักกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีค่าแรงงานที่ถูกกว่า มีคุณภาพการผลิตที่ดี ซึ่งไทยมีศักยภาพในส่วนนี้
ขณะที่ตุรกี มีทักษะการออกแบบและขีดความสามารถการผลิตที่มีคุณภาพดี มีความเข้าใจตลาด มีข้อตกลงการค้าเสรีกับตลาดหลักอย่างยุโรป มีความใกล้ชิดกับตลาดศักยภาพทั้งตะวันออกกลาง ไมว่าจะเป็น ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี แอฟริกา จากการสำรวจตลาดและการทำงานมานานพบว่า ตุรกีต้องการเข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เพื่อขยายศักยภาพรองรับดีมานด์ตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
เบื้องต้นเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้าใจและมีความพร้อมเข้าสู่โอกาสของเศรษฐกิจฮาลาล สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (องค์การมหาชน) มอบหมายให้สถาบันฯ จัดการ การขอรับส่วนลดออกงาน Grand Halal สำหรับกล่มเป้าหมายที่สนับสนุนในทุกอุตสาหกรรมที่ออกงาน Grand Halal ประกอบด้วย นิติบุคคลบุคคลธรรมดา (สสว.สนับสนุน 80%) ผู้ประกอบการจ่าย 20%
แบ่งเป็น Micro SME การผลิต รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทปี สสว. สนับสนุนไม่เกิน 50,000 บาท** และ Small SME การผลิต รายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทปี ภาคอื่นๆ ไม่เกิน 50 ล้านบาทปี * โดย"สสว. สนับสนุนไม่เกิน 100,000บาท
นิติบุคคลเท่านั้น (สสว.สนับสนุน 50%) ผู้ประกอบการจ่าย 50% โดย Medium SME การผลิต รายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ภาคอื่นๆ ไม่เกิน 300 ล้านบาทปี นั้น สสว. สนับสนุนไม่เกิน 200,000 บาท







