‘เอกชนสหรัฐ’รับลูกดีลการค้า‘4ชาติอาเซียน’ ลุยตลาด‘เกษตร-พลังงาน-เซมิคอนดักเตอร์’

เอกชนสหรัฐ รับลูกดีลการค้ากับ 4 ชาติอาเซียน ทั้งข้อตกลงการค้ากับมาเลเซียและกัมพูชา ร่วมถึง กรอบข้อตกลงการค้ากับไทยและเวียดนาม ที่จะทำให้อุตสาหกรรมและภาคการเกษตรสหรัฐ มีโอกาสทางการค้าที่ดีขึ้น
หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทน(Agreements on Reciprocal Trade)
กับมาเลเซียและกัมพูชา และบรรลุกรอบข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทน (Frameworks for Agreements on Reciprocal Trade) กับไทยและเวียดนาม นั้นนับข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐ สามารถคงอัตราภาษีศุลกากรใหม่ไว้เพื่อลดการขาดดุลการค้าสินค้า ขณะเดียวกันก็สามารถขยายโอกาสการเข้าถึงตลาดของชาวอเมริกัน นำมาสู่เสียงชื่นชมและการแสดงถึงความพร้อมของภาคเอกชนสหรัฐที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เปิดกว้างนี้
เว็บไซต์ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เผยแพร่ ท่าทีของภาคเอกชนสหรัฐต่อข้อตกลงและกรอบข้อตกลงการค้ากับ 4 ชาติในอาเซียน โดยสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Industry Association :SIA) ระบุว่า จอห์น นอยเฟอร์ ประธานและซีอีโอของ SIA แสดงความยินดีต่อการประกาศข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐ กับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
อาเซียนบทบาทเด่นนิเวศเซมิคอนดักเตอร์โลก
“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบทบาทสำคัญและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้อตกลงที่ประกาศกับมาเลเซีย เวียดนาม และไทย จะช่วยเพิ่มความแน่นอนและความสามารถในการคาดการณ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งให้กับสภาพแวดล้อมทางการค้าและธุรกิจระดับโลกสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และเป็นเวทีสำหรับความร่วมมือด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต"
ด้านสมาคมอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ(Aerospace Industries Association) ระบุว่า ข้อตกลงทางการค้ากับกัมพูชาและมาเลเซียสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์และเอกอัครราชทูตเกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ในการแสวงหาข้อตกลงที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของอเมริกาเป็นอันดับแรก การลงทุนในอุปกรณ์ที่ผลิตในอเมริกาหมายถึงการจ้างงานภายในประเทศที่มากขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการลงทุนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในเทคโนโลยีนวัตกรรม
“ข้อตกลงเช่นนี้ช่วยให้อุตสาหกรรมของเราสามารถต่อยอดการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งขับเคลื่อนโดยสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เอื้ออำนวย และเราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐบาลของเขาต่อไปเมื่อมีการประกาศข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติม”
ฟอร์ด-จีเอ็ม-สเตลเเลนติส์พร้อมบุกตลาด
ขณะที่แมตต์ บลันท์ ประธานสภานโยบายยานยนต์แห่งอเมริกา(American Automotive Policy Council) ระบุว่า ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันอย่างฟอร์ด จีเอ็ม และสเตลแลนติส(Stellantis)ชื่นชมรัฐบาลทรัมป์ที่ขยายการเข้าถึงตลาดยานยนต์ของสหรัฐ รวมถึงการยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยและการปล่อยมลพิษของสหรัฐ ในข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนกับมาเลเซียและกัมพูชา
“นี่คือเป้าหมายระยะยาว และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับรัฐบาลเพื่อให้มั่นใจว่าเป้าหมายดังกล่าวจะได้รับการนำไปปฏิบัติอย่างเต็มที่และมีการทำซ้ำในข้อตกลง(repeated in agreements)กับคู่ค้าอื่นๆ”
ส่วนGrowth Energy ซึ่งเป็นสมาคมการค้าเชื้อเพลิงชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่จะทำให้เกษตรกรและชุมชนชนบทของอเมริกาที่ต้องการและจำเป็นต้องมีตลาดใหม่ ซึ่งตลาดใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้นและได้รับการส่งเสริมโดยข้อตกลงการค้าฉบับใหม่เหล่านี้
อุตฯเอทานอลชี้ทรัมป์ช่วยสร้างโอกาสใหม่
เอมิลี่ สกอร์ ซีอีโอของ Growth Energy กล่าวว่า ความต้องการเอทานอลทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้น และรัฐบาลทรัมป์ยังคงหาวิธีสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมนี้ พร้อมกับวางตำแหน่งให้ผู้ผลิตในอเมริกาใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด ข้อตกลงใหม่เหล่านี้จะเป็นข่าวดีสำหรับภาคส่วนต่างๆ ทั่วโลก
สมาคมถั่วเหลืองแห่งสหรัฐอเมริกา (ASA) ซึ่งเป็นตัวแทนของเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐ มีสมาคมรัฐในเครือ 26 แห่ง ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐผู้ผลิตถั่วเหลือง 30 รัฐ และเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองเกือบ 500,000 ราย
ออกแถลงการณ์ย้ำถึง ประโยชน์ต่อการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐในข้อตกลงดังกล่าว ได้แก่ การยกเลิกหรือลดอุปสรรคทางภาษีสำหรับสินค้าเกษตรของสหรัฐในทั้งสี่ประเทศ
คำมั่นสัญญาจากประเทศไทยในการซื้อกากถั่วเหลืองจากสหรัฐรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อาหารสัตว์อื่นๆ ของสหรัฐต่อปี มูลค่ารวม 2.6 พันล้านดอลลาร์
การยกเลิกหรือลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีที่สำคัญในแต่ละประเทศ รวมถึงถ้อยคำที่เอื้ออำนวยเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านเทคโนโลยีชีวภาพและข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช
“เราขอขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ที่ตระหนักถึงศักยภาพของตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐ และเราขอชื่นชมการทำงานของรัฐบาลในการเพิ่มการเข้าถึงตลาดในภูมิภาคดังกล่าว”
ไทยเตรียมซื้อข้าวโพดและ DDGSสหรัฐ
ด้านสมาคมผู้ปลูกข้าวโพดแห่งชาติ (National Corn Growers Association) ระบุว่า รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศข้อตกลงและกรอบความร่วมมือทางการค้าหลายฉบับกับหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งบางฉบับรวมถึงการเข้าถึงตลาดใหม่สำหรับเอทานอล รวมถึงโอกาสเพิ่มเติมสำหรับข้าวโพดและผลิตภัณฑ์จากข้าวโพด เช่น สารละลายธัญพืชอบแห้งกลั่น(distiller dried grain solubles: DDGS)
เจด โบเวอร์ ประธานสมาคมผู้ปลูกข้าวโพดแห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์ว่า ทั้งหมดนี้เป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดของประเทศ การยกเลิกภาษีนำเข้าเอทานอลจากการส่งออกไปยังมาเลเซียและกัมพูชาจะช่วยเพิ่มความต้องการ
"เรารู้สึกยินดีที่เห็นว่ากรอบความร่วมมือสำหรับประเทศไทยครอบคลุมการซื้อข้าวโพดและ DDGS ทางการเกษตร และกรอบความร่วมมือที่ประกาศสำหรับเวียดนามก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน เนื่องจากเป็นตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับ DDGS อยู่แล้ว
ทั้งนี้ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดก็อยู่ในสถานะที่ดีในการจัดหาข้าวโพดและเอทานอลเช่นกัน และรอคอยที่จะได้พิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือสำหรับประเทศไทยและเวียดนาม เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดได้เรียกร้องให้มีข้อตกลงที่จะเปิดตลาดใหม่ และขอชื่นชมรัฐบาลทรัมป์ที่รับฟังและดำเนินการตามคำขอของสมาคมมาตลอด
ผู้ส่งออกข้าวสหรัฐหวังแข่งขันเท่าเทียม
USA Rice ระบุว่า ความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนกับมาเลเซียได้ลดภาษีนำเข้าข้าวสหรัฐ จาก 40% เหลือ 15% ขณะที่ความตกลงกับกัมพูชาได้ยกเลิกภาษีนำเข้าข้าวสหรัฐทั้งหมด ปูทางไปสู่การเปิดตลาดเสรีสำหรับข้าวสหรัฐ ทุกประเภทและทุกรูปแบบ
“แม้ว่าตลาดทั้งสองแห่งนี้มักจะเต็มไปด้วยข้าวราคาถูกที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งได้รับเงินอุดหนุนอย่างผิดกฎหมาย แต่ความสำเร็จในการเข้าถึงตลาดของรัฐบาลทรัมป์นั้นยิ่งใหญ่มาก”
แม้ว่าข้าวเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากที่สุดและได้รับการคุ้มครองทั่วโลก ทำให้เกษตรกรและผู้ส่งออกของสหรัฐกำลังแข่งขันอย่างไม่เท่าเทียมกัน โดยบ่อยครั้งถูกกีดกันจากเงินอุดหนุนที่ผิดกฎหมายและนโยบายที่บิดเบือนตลาด ดังนั้นความสำเร็จในการเข้าถึงตลาดเหล่านี้ช่วยสร้างความเท่าเทียมกันการค้าข้าวให้สหรัฐ
สำหรับกรอบการค้าที่ประกาศร่วมกับเวียดนามและไทย ประกอบด้วยพันธกรณีการเข้าถึงตลาดแบบให้สิทธิพิเศษจากทั้งสองประเทศ ขณะที่สหรัฐ ยังคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศเหล่านี้ รวมถึงข้าว ไว้ที่ 20% และ 19 % ตามลำดับ
“แม้ว่าเราไม่ได้คาดการณ์ว่าการเข้าถึงตลาดในมาเลเซียและกัมพูชาจะไม่ได้ผลักดันยอดขายข้าวสหรัฐ อย่างมีนัยสำคัญ แต่การลดอุปสรรคทางภาษีก็เป็นประโยชน์เสมอเราหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงศักยภาพของรัฐบาลในการบรรลุการเข้าถึงตลาดปลอดภาษีแบบเดียวกันในสหราชอาณาจักรสำหรับข้าวสหรัฐ ทุกประเภทและทุกรูปแบบ”







