กำลังผลิตขยับแต่เสี่ยง! เจาะสัญญาณฟื้นตัวอุตฯ เหล็กไทยท่ามกลางแรงบีบจีน

กำลังผลิตขยับแต่เสี่ยง! เจาะสัญญาณฟื้นตัวอุตฯ เหล็กไทยท่ามกลางแรงบีบจีน

"ส.อ.ท." เผย กำลังผลิตอุตสาหกรรมเหล็กไทยขยับ แต่ยังเสี่ยง! เจาะสัญญาณฟื้นตัวเฉลี่ยแตะ 34% ท่ามกลางแรงบีบจีน

KEY

POINTS

  • อุตสาหกรรมเหล็กไทยมีสัญญาณฟื้นตัว โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 29% เป็นราว 33-34% ซึ่งเป็นผลจากนโยบายคุมเข้มมาตรฐานสินค้า
  • การฟื้นตัวยังคงเปราะบางและมีความเสี่ยงสูงจากการทะลักของเหล็กนำเข้าจากจีน ซึ่งคาดว่าตลอดปี 2568 จะมีปริมาณสูงถึง 5.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12% และมีราคาถูกลง 15%
  • ผู้ผลิตในประเทศเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการนำเข้า "สินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป" ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการหันไปใช้สินค้านำเข้าแทน
  • ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งใช้มาตรการทางการค้า เช่น การตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) และมาตรการปกป้อง (Safeguard) เพื่อลดผลกระทบจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยผลิตเหล็กได้รวม 4.36 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณนำเข้าเหล็กยังสูงถึง 7.04 ล้านตัน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยเหล็กจากจีนมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดนำเข้าทั้งหมด สร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตภายในประเทศที่ต้องเผชิญภาวะขาดทุน และบางรายจำเป็นต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราว

คาดการณ์ว่าความต้องการใช้เหล็กของไทยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ราว 16.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 16.5 ล้านตันในปีก่อน แต่ในขณะที่ความต้องการเหล็กเพิ่มขึ้น การนำเข้าสินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปกลับเร่งตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินค้าเหล็กผลิตในประเทศถูกลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัด

เหล็กจีนทะลักเข้าไทย ราคาถูกลง 15%

แม้รัฐบาลจีนประกาศนโยบายลดกำลังการผลิตเหล็ก แต่ปริมาณการส่งออกมายังไทยกลับเพิ่มขึ้น โดยตลอด 7 เดือนแรกของปี 2568 จีนส่งเหล็กมายังไทยแล้วกว่า 3.29 ล้านตัน คาดว่าสิ้นปีจะพุ่งแตะ 5.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ราคานำเข้าเฉลี่ยลดลงถึง 15% ยิ่งทำให้ผู้ผลิตไทยต้องแข่งขันกับราคาต่ำมากขึ้น

แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมเหล็ก เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ประกอบการได้เสนอให้รัฐบาลเร่งใช้มาตรการทางการค้า ทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ (Safeguard) รวมถึงการลดต้นทุนด้านพลังงาน เพื่อพยุงอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศให้ยืนหยัดต่อไปได้

ขณะเดียวกัน ภาครัฐได้เร่งดำเนินการไต่สวนกรณีการทุ่มตลาดและการหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้าให้เป็นไปตามหลักการของ WTO เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้า โดยปี 2568 มีการเปิดไต่สวนสินค้าเหล็กหลายรายการ ซึ่งเชื่อว่าผลสรุปจะออกมาอย่างยุติธรรม

นอกจากนี้ ยังพบว่า “สินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป (พิกัด 7308)” มีสถิติการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 680,000 ตันในปี 2567 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2568 ส่งผลให้ยอดบริโภคเหล็กในประเทศลดลง เพราะผู้ประกอบการเปลี่ยนไปใช้สินค้านำเข้าประเภทสำเร็จรูปแทน

เอกชนหนุนรัฐคุมมาตรฐานต่อเนื่อง

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แม้การนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศยังสูง แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กไทยเริ่มฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก 29% เป็นราว 33–34% เนื่องจากนโยบายคุมเข้มมาตรฐานสินค้า โดยเฉพาะในสมัยของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ผลักดันให้เข้มงวดต่อการนำเข้าเหล็กคุณภาพต่ำและการผลิตที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้รับการยืนยันจาก กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) และคณะกรรมการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) ว่าจะเร่งรัดกระบวนการพิจารณาให้รวดเร็วขึ้น หากดำเนินการได้จริง จะช่วยลดการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศลงอย่างมีนัยสำคัญ

“ภาคอุตสาหกรรมเหล็กไทยต้องการความรวดเร็วของมาตรการทางการค้า เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก เพราะทุกเดือนมีเหล็กจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” นายนาวา กล่าว

คาดความต้องการเหล็กปี 2569 โตต่อเนื่อง

กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กยังได้เสนอให้นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้มงวดตรวจสอบคุณภาพการผลิตเหล็กในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและระบบอุตสาหกรรมโดยรวม

สำหรับแนวโน้มการใช้เหล็กในประเทศปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวราว 10% จากปีก่อน ขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 8–9% แต่การใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นถือเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ให้ผู้ผลิตไทยเร่งขยายตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเพิ่มการใช้เหล็ก “Made in Thailand” มากขึ้น

"ทั้งนี้ คาดว่าความต้องการใช้เหล็กของไทยในปี 2569 จะเติบโตต่อเนื่อง จากแรงหนุนโครงการลงทุนใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องขอบคุณรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจที่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้โครงการภาครัฐเดินหน้าได้มากขึ้น และเพิ่มการใช้สินค้าไทยในห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะเหล็กผลิตในประเทศ” นายนาวา กล่าว